วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

สตริงคอมโบ


สตริงคอมโบ String combo เป็นวงดนตรีเครื่องสายอย่างตะวันตกขนาดเล็ก เกิดใหม่จากการดัดแปลงและรวมวงวงคอมโบเข้ากับวงชาโดว์

ประวัต

ประวัติวงสตริงฝั่งตะวันตก

วงสตริงฝั่งตะวันตกแบ่งวิวัฒนาการออกได้เป็น 2 สมัย สมัยแรกคือดนตรีต้นตำรับตั้งแต่ร็อกยังไม่เกิด ได้แก่ บลูส์ คันทรี่ และโฟล์ก สมัยที่สองเป็นร็อกยุคแรกอันเป็นต้นฉบับให้กับร็อกรุ่นหลังถึงปัจจุบัน บรรพบุรุษร็อกนี้เรียกว่าคลาสสิก ร็อค 

ประวัติวงสตริงของไทย

มาถึงกำเนิดสตริงสัญชาติไทย ช่วง พ.ศ. 2503-2515 วงการดนตรีของไทยมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับเนื่องจากอิทธิพลผลงานเพลงตะวันตกที่หลั่งไหลเข้ามาโดนใจโจ๋ยุคนั้นไม่ขาดสาย อาทิ เดอะ บีตเทิ่ลส์, เดอะ ชาโดว์, คลิฟ ริชาร์ด และเอลวิส เพรสลี่ย์ ฯลฯ แทบทุกรายมากับกีต้าร์ 3 ตัว กลอง 1 ชุด พร้อมๆ กันนั้นวงดนตรีของไทยก็เริ่มหันมาเล่นเพลงสากล ได้รับความนิยมไม่น้อยเหมือนกัน
เมื่อครั้งสหรัฐอเมริกาเข้ามาตั้งฐานทัพในไทย เพลงตะวันตกมีบทบาทสูงยิ่งอีกครั้ง วงดนตรีของไทยที่เล่นเพลงสากลในสมัยนั้น เช่น วงจอยท์ รีแอ็กชั่น วงซิลเวอร์แซนด์ วงรอยัลสไปรต์ส ฯลฯ ร้องและเล่นตามต้นแผ่นเสียงเป็นส่วนใหญ่

ประวัติวงสตริงในเมืองไทย สตริงหรือสตริงคอมโบ้ ( String Combo ) เป็นวงดนตรีประเภทเครื่องสายอย่างตะวันตกมีขนาดเล็กเกิดใหม่จากการดัดแปลงวงคอมโบ้รวมมิตรกับวงชาโดว์ วงคอมโบ้ (Combo Band) หมายถึงวงดนตรีขนาดเล็กมุ่งประกอบการขับร้อง มีจำนวนเครื่องดนตรีไม่แน่นอนแล้วแต่ความสะดวกแต่หลักๆมักประกอบด้วย ทรัมเป็ต เทเนอร์แซกโซโฟน อัลโตแซกโซโฟน ทอมโบน เปียโน กีตาร์คอร์ด กีตาร์เบส กลองชุด เครื่องดนตรีประกอบจังหวะอื่นๆได้แก่ กลองทอมบ้า ฉิง ฉาบ เป็นต้น ปัจจุบันนำหางเครื่องหรือปัจจุบันเรียกแดนเซอร์ มาเต้นประกอบเพื่อให้เกิดความสวยงามยิ่งขี้น มีการส่งเสริมจัดการประกวดวงคอมโบ้หลายเวที เช่น รายการชิงช้าสวรรค์ ช่อง9 อ.ส.ม.ท เวทียามาฮ่าลูกทุ่งคอนเทสก์ เวทีลูกทุ่ง ปปส.เป็นตัน วงชาโดว์ (Shawdo Band) เป็นวงดนตรีขนาดเล็กๆเคลื่อยย้ายสะดวก ประกอบด้วยเครื่องดนตรี กีตาร์ลีด กีตาร์คอร์ด กี่ตาร์เบส กลองชุด แบ่งวิวัฒนาการออกเป็น 2 สมัย 1.ได้แก่ วงชาโดว์แนวบูล คันทรี โฟลก์ 2.วงชาโดว์แนวร๊อคเป็นต้นฉบับให้กับร๊อครุ่นหลังถึงปัจจุบัน บรรพบุรุษร๊อคนี้เรียกว่า คลาสสิกร๊อค มาถึงกำเนิดสตริงสัญชาติไทย (พ.ศ. 2503-2515) วงการดนตรีไทยมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับเนื่องจากอิทธิพลของดนตรีตะวันตกที่หลั่งไหลเข้ามาโดนใจวัยโจ๋ในสมัยนั้นไม่ขาดสายได้แก่วง เดอะบิทเทิล เดอะชาโดของคลิฟ ริชารด์ เอลวิส เพรสลีย ฯลฯ แทบทุกวงดนตรีมากับกีตาร์ 3 ตัว กลองชุด พร้อมๆกันนั้นวงดนตรีของไทยก็เริ่มหันมาเล่นเพลงสากลได้รับความนิยมไม่น้อยเหมือนกัน เมื่ออเมริกามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยสมัยสงครามเวียดนาม เพลงสากลได้รับความนิยมไม่น้อยเหมือนกัน วงดนตรีของไทยที่เล่นเพลงสากลในสมัยนั้นเช่น วงซิลเวอแซนด์ วงรอแยลสไปรท์ ฯลฯ ร้องและเล่นตามต้นแบบเป็นส่วนใหญ่ พ.ศ. 2512 ได้จัดการประกวดวงสตริงคอมโบ้แห่งประเทศไทยขึ้นมีกติกาการแข่งขันว่า เล่นเพลงสากล 1 เพลง เพลงไทยสากล 1 เพลง เพลงพระราชนิพนธ์ 1 เพลง วงที่ชนะเลิศคือ วงดิอิมพอสซิเบิล ซึ่งเดิมเป็นวงอาชีพเล่นอยู่แถบถนนเพชรบุรีตัดใหม่ในนามวงจอยท์รีแอคชั่นหรือ เจ-ทรี (ฮอลิเดย์ เจ-ทรีตามชื่อสถานบันเทิงที่เล่น) ชื่อดิอิมพอสซิเบิลซึ่งเปลี่ยนก่อนแข่งได้มาจาก การ์ตูนในโทรทัศน์ยุคนั้น ดิอิมพอสซิเบิลโด่งดังเหลือหลาย นักดนตรีประกอบด้วย เศรษฐา ศิระฉายา วินัย พันธุรักษ์ อนุสรณ์ พัฒนกุล สิทธิพร อมรพันธ์ และพิชัย คงเนียม ครองรางวัลชนะเลิศ 3 ปีซ้อน ประวัติศาสตร์วงการดนตรีไทยต้องบันทึกไว้ในฐานะวงดนตรีประเภทสตริงคอมโบ้วงแรกที่สร้างความรู้สึกเป็นสากลและเป็นวงแรกอีกเช่นกันเปิดทางให้วัยรุ่นฟังเพลงไทยแนวใหม่ ความสำเร็จขั้นสูงสุดทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์ตลอดจนผู้ประพันธ์เพลงให้ความสนใจกับวงดนตรีประเภทนี้มากขึ้น เวลาเดียวกันวงดนตรีวงอื่นๆ ได้รับความนิยมตามมาเช่น วงพี่เอ็มไฟร์ (P.M.5) วงแฟนตาซี วงแกรนด์เอ็กซ์ วงชาตรี ฯลฯ จากนั้นเข้าสู่ยุดแฟนฉัน (วงชาตรี) ครีกครืนรื่นเริงเรื่อยมาถึงทุกวันนี้





---------------------------------------------------
ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%9A

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

เชลโล

   Cello: เชลโล 
ชื่อเต็มๆ ของเชลโลคือ Violoncello ซึ่งหมายถึง little violone คำว่า violone หมายถึง Double bass แต่ที่น่าแปลกคือแม้ว่าเชลโลจะเป็นที่ยอมรับอย่างรวดเร็ว แต่ชื่อของมันเพิ่งจะมีขึ้นในศตวรรษที่ 17 นี่เอง นับเป็นเวลานานหลายศตวรรษทีเดียวหลังจากที่เชลโลได้ถือกำเนิดขึ้นมา หลักฐานในช่วงแรกๆ ที่กล่าวถึงที่มาของเชลโลนั้นค่อนข้างสับสน หลักฐานแรกคือBasso di viola da braccio ก็ดูเป็นไปได้ยาก แต่เครื่องดนตรี Bass violin ของอังกฤษนั้นดูจะใกล้เคียงกว่า เช่นเดียวกับ Bassde violon ของฝรั่งเศส แม้ว่าจริงๆ แล้วเครื่องดนตรีทั้ง 2 ชนิดจะไม่สามารถอธิบายถึงที่มาของเชลโลได้ทั้งหมดก็ตาม

ระดับเสียงของเชลโล 
ในหนังสือ Musica instrumentalis deudsch ของ Argricola เป็นเอกสารยุคแรกๆ ที่กล่าวถึงเชลโลเอาไว้ เครื่องดนตรี 3 สายนี้ตั้งสายในระดับเเสียง F c g ซึ่งอยู่ในระดับเดียวและสัมพันธ์กันวิโอล่าและไวโอลิน ต่อมาเมื่อได้เพิ่มสายที่ 4 เข้าไปคือเสียงBb ถัดจากสาย F (เสียงต่ำ) นักทฤษฎีดนตรีในช่วงศตวรรษที่ 16 หลายๆ ท่านก็ได้อ้างอิงถึงการตั้งสายแบบนี้ แต่ในช่วงต้นปี 1532 ได้กล่าวถึงการตั้งเสียง C G d a ไว้ในงานเขียน Musica teusch ของ Gerle ส่วนในงานเขียนชื่อ Syntagma musicumของ Michael Praetorius ในปี 1619 ได้อธิบายถึงการตั้งเสียงของเชลโลทั้ง 2 แบบไว้ และแบบ F c g d ซึ่งระดับเสียงสูงกว่า และมีเอกสารภาพประกอบของเชลโล 5 สายที่ตั้งเสียง F’ C G d a เครื่องดนตรีนี้ตั้งเสียงต่ำจนเกือบจะเหมือนกับเบสในยุคปัจจุบัน และมีขนาดใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัดเกินกว่าที่จะสามารถประคองไว้ด้วยเข่าของผู้เล่น 

การตั้งเสียงเชลโลในสมัยใหม่นั้นเกิดขึ้นที่ประเทศิตาลีในช่วงต้นของศตวรรษที่ 17 และได้รับความนิยมแพร่หลายโดยทั่วไป การตั้งเสียงต่ำนั้นอาจจะเเสดงถึง Bass violin ของอังกฤษ และ Basse de violon ของฝรั่งเศส ที่ยังคงมีใช้อยู่ในทั้ง 2 ประเทศจนถึงตอนต้นศตวรรษที่ 18

 การวางนิ้วและการใช้คันชัก 
แม้ว่าเชลโลจะตั้งเสียงคู่ 5 เช่นเดียวกับไวโอลินและวิโอลา แต่เนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่กว่าทำให้ไม่สามารถใช้เทคนิคการเล่นด้วยนิ้วแบบเดียวกันได้ ในการเล่นโพสิชั่นแรกของเชลโลนั้น นิ้วชี้จะให้เสียงที่สูงกว่าสายเปล่า 1 เสียง แต่ถ้าเป็น 2 นิ้วจะให้เสียงที่สูงกว่าอีก 1 เสียง และในนิ้ว 4 จะให้เสียงที่สูงกว่าครึ่งเสียงหรือ 1 เสียง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนโพสิชั่นที่ต้องอาศัยเทคนิคของมือซ้ายที่ค่อนข้างโค้ง ซึ่งเชลโลรับเทคนิคนี้มาจากไวโอลินอีกที จนกระทั่งในทศวรรษที่ 1720 เทคนิคมือซ้ายที่ค่อนข้างตรงกว่าจึงได้รับการยอมรับมากขึ้น ผู้เล่นเชลโลเริ่มตระหนักว่าบทบาทของนิ้วโป้งมือซ้ายสามารถที่ทำหน้าที่ทาบสายคล้าย Capo dastro ของกีตาร์ได้ ในขณะเดียวกันความยาวของคอเชลโลก็พัฒนาจนมีขนาดมาตรฐานประมาณ 75 ซม.หรือ 30 นิ้ว ซึ่งเป็นผลงานที่ต้องยกความดีให้กับ Antonio Stradivari ช่างทำไวโอลินที่มีชื่อเสียงชาวอิตาลีแห่งเมืองเครโมนาในยุคเรอเนสซองส์

ส่วนเทคนิคของคันชักก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 18 ก่อนหน้านี้การจับคันชักถ้าไม่เป็นแบบ Underhand grip เช่นเดียวกับซอ Viol ก็จะเป็นแบบ Overhand grip ซึ่งมือขวาจะอยู่ห่างจากด้ามคันชักมากกว่าวิธีที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แต่การสีของคันชักนั้นที่ค่อนข้างถูกจำกัด พัฒนาการการใช้คันที่เป็นอิสระขึ้นนั้นค่อยๆ ดำเนินควบคู่ไปเช่นเดียวกับเทคนิคของนิ้วมือ โดยคันชักนั้นค่อยๆ พัฒนาให้มีความโค้งขึ้น ทำให้ผู้เล่นสามารถควบคุมการใช้คันชักได้ดีขึ้นในเรื่องพลังเสียงทั้งการทำให้เกิดเสียงที่กว้างขึ้นและการแสดงออกที่หลากหลายขึ้นเช่นเดียวกัน

ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 19 เทคนิคการเล่นเชลโลที่พัฒนาหลากหลายขึ้นและใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก่อนหน้างานเขียนทฤษฎีเชลโล Essai sur le doigte du violoncelle et sur la conduite de liarchet ในปี 1813 ของนักเชลโลชาวฝรั่งเศสJean-Louis Doport นั้น ยังไม่มีแบบเรียนเชลโลที่สำคัญที่ใช้ในโรงเรียนสอนดนตรีระดับนานาชาติเลย แต่ Jean-Louis Doport เป็นผู้ค้นคว้าและพัฒนาระบบการวางนิ้ว การใช้หัวแม่มือในโพสิชั่นสูงๆ ทำนิ้วสามารถทำให้สายเกิดการสั่นสะเทือนของในช่วงสั้นๆ เช่นเดียวกับไวโอลินและเทคนิคนี้ก็ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน ส่วนเทคนิคอื่นๆ ได้นำจากไวโอลินเช่นเดียวกันเช่น Multiple-stopping และฮาร์โมนิค ส่วนเชลโลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยใน 2 ส่วนสำคัญคือ ไม่มีที่ยึดบริเวณเข่าแต่มีเหล็กแหลมเป็นตัวยึดกับพื้นแทน และการลดองศาที่ตั้งฉากของตำแหน่งการวางเชลโลลง ทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นด้วยมือซ้ายได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น ส่วนคันชักในยุคศตวรรษที่ 18 นั้น เชลโลถูกพัฒนาให้มีความเว้าขึ้นและมีขนาดที่สั้นลงแต่หนาขึ้นกว่าคันชักของไวโอลินและวิโอลา

ยอดนักเชลโลในอดีต 
Duport 
ตระกูล Duport ก็เช่นเดียวกับนักเชลโลร่วมสมัยชาวอิตาเลียน Luigi Boccherini โดย Jean Luis Duport นั้น เป็นนักเชลโลทั้งในราชสำนักของสเปนและปรัสเซีย แม้ว่าเขาจะได้เขียนบทประพันธ์สำหรับเชลโลที่สำคัญและกลายเป็นนักเชลโลที่มีฝีมือโดดเด่น แต่ก็เป็นที่รู้จักน้อยกว่าน้องชายของเขา Jean-Piere ซึ่งเป็นนักเชลโลในราชสำนักปรัสเซียเช่นเดียวกัน ซึ่งแต่เดิมบีโธเฟนต้องการมอบโซนาต้า Op. ที่ 5 ให้ แต่ต่อมาได้อุทิศให้กับผู้อุปถัมภ์นักเชลโลทั้ง 2 แทนคือ Friedrich Wilhem ที่ 2 

พี่น้องทั้งคู่ยังได้แต่งเพลงสำหรับเชลโลไว้เช่นเดียวกัน เมื่อโมสาร์ทได้เดินทางมาเยือนราชสำนักแห่งนี้ที่ Potsdam เมื่อปี 1789 และได้แต่งเพลงให้กับวงสตริงควอเต็ทประจำราชสำนักโดยให้เชลโลมีบทเด่น ส่วนในเปียโน Variation บทที่ K573 ก็ดัดแปลงจากมินูเอ็ทบทหนึ่งจากโซนาต้าของ Jean-Piere Duport 

Bernhard Romberg 
ถือเป็นนักเชลโลที่มีชื่อเสียงที่สุดของยุคถัดจากตระกูล Duport เขาได้เขียนตำรา Methode de violoncelli ในปี 1840 และประพันธ์บทเพลงเดี่ยวเชลโลไว้อีกหลายบทด้วยกัน

David Popper 
นักเชลโลชาวเชคได้ประพันธ์ Elfentaz สำหรับเชลโล และเพลงสำหรับเชลโล 3 ตัวและออร์เคสตร้าใน Op. ที่ 66 ในปี 1892 เพลงนี้มีความพิเศษคือ เป็นบท Requeim ที่ปราศจากเสียงร้องเพลง
นักเชลโลที่สำคัญท่านอื่นๆ ของศตวรรษที่ 19 รวมถึง Alfredo Piatti นักเชลโลชาวอิตาเลียน และ Julius Klengel ชาวเยอรมัน ทั้ง 2 ได้แต่งเพลงบทเล็กๆ สำหรับเชลโลไว้หลายบท

  บทบาทของเชลโลในดนตรีคลาสสิค 
ผลลัพธ์ที่สำคัญประการหนึ่งจากวิวัฒนาการของเชลโลคือ ความนิยมในที่เพิ่มมากขึ้นฐานะเครื่องดนตรีสำหรับบรรเลงเดี่ยว แม้ว่าบทบาทของมันในยุคบาโร้คจะมีไม่น้อยก็ตาม ซึ่งคุณค่าของมันมีมากว่าการเป็นเพียงเครื่องดนตรีในกลุ่มเครื่องดนตรีที่ทำหน้าที่บรรเลงแนวเสียงเบส บทบาทที่เพิ่มขึ้นนับจากการเป็นเครื่องดนตรีเบสหลักในวงนับตั้งแต่ช่วงต้นของศตวรรษที่ 17 และในช่วงกลางของศตวรรษที่ 18 ทำให้ความสำคัญของซอวิโอลก็ค่อยๆ ลดลง แม้แต่ในฝรั่งเศสที่ซอวิโอลเป็นเครื่องดนตรีที่เป็นคู่แข่งกับเชลโลมานาน แต่ความสำคัญของเชลโลในวงแชมเบอร์ที่เพิ่มขึ้นนั้น มีผลกระทบไม่มากนักต่อเปียโนที่มีอิทธิพลอย่างสูงมานาน ในขณะที่เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดเปลี่ยนบทบาทจากพระรองกลายเป็นเครื่องดนตรีหลักในวง แต่เชลโลยังคงมีบทบาทเช่นเดิม เปียโนทริโอของโมสาร์ทอาจจะเป็นบทเพลงที่ทำให้เชลโลก้าวขึ้นมาเป็นที่สนใจของผู้ฟังมากขึ้นพอสมควร แต่ไฮเดินก็ดึงเชลโลกลับไปทำหน้าที่บรรเลงแนวเบสให้กับเปียโนอีก นอกจากในบทเพลงที่ไม่มีเปียโน เช่น ในผลงานสตริงควอเต็ทเชลโลจึงมีโอกาสออกมายืนอยู่แถวหน้าบ้าง

ในวงออร์เคสตร้าก็เช่นกัน เชลโลทำหน้าที่บรรเลงในแนวเสียงเบสในกลุ่มเครื่องสาย นอกจากนั้นคีตกวีในยุคคลาสสิคน้อยรายนักที่จะจัดให้กลุ่มของเชลโลมีโอกาสได้บรรเลงในแนวเดี่ยว ส่วนการบรรเลงแนวเดี่ยวของหัวหน้ากลุ่มเชลโลนั้นพบบ้างในซิมโฟนีบางบทของไฮเดินเช่น หมายเลข 13 ในปี 1763 และหมายเลข 95 ในปี 1791 หรือในเพลง Batti ของ Zerlina และBatti aria จากอุปรากร Don Giovanni ของโมสาร์ท ในเปียโนคอนแชร์โตบทที่ 4 ของบีโธเฟนซึ่งประพันธ์ขึ้นในปี 1806-1807 ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เชลโลทำหน้าที่คล้ายเบสในวงออร์เคสตร้า

เชลโลได้ถูกพัฒนาขึ้นให้มีลักษณะพิเศษ 2 ประการคือ ทำหน้าที่เดิมเพื่อเป็นส่วนเสริมให้กับบทเพลงโดยบรรเลงในแนวเบสในวงออร์เคสตร้าหรือแชมเบอร์มิวสิค แต่ก็ได้ขยายขอบเขตมาบรรเลงในทำนองหลักบ้าง คีตกวีในยุคโรแมนติคก็ไม่รีรอที่จะค้นหาความสามารถที่แท้จริงของมัน ตัวอย่างของผลงานที่แสดงทั้ง 2 บทบาทของเชลโลคืองานสตริงควินเต็ทบทหลังๆ ของ Schubert ที่ใช้เชลโล 2 ตัว โดยตัวที่ 2 บรรเลงแนวเบสของวง โดยปล่อยให้เชลโลตัวที่ 1 แสดงลีลาได้อย่างเต็มที่ ส่วนเซกเต็ททั้ง 2 บทของบราห์มสนั้น โชว์ความสนุกสนานร่าเริงของเชลโลทั้ง 2 ตัวเช่นเดียวกัน 

ส่วนงานประพันธ์ที่มีชื่อเสียง ในศตวรรษ19 นั้น เช่น ในช่วงต้นของโหมโรง William Tell Overture ของ Rossini ประกอบด้วยภาคโซโล่ชองเชลโลถึง 5 บท รวมถึง Overture ในบท Ruslan and Lyudmila ของ Glinka ในซิมโฟนีหมายเลข 3 ของบราหม์สกระบวนที่ 3 และบทเพลงสวดใน Requiem ของ Verdi ถึงเชลโลจะบทบาทมากขึ้นแต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้นที่บรรดาคีตกวีได้ให้โอกาสนักเชลโลมีโอกาสได้แสดงออก ในบางส่วนของบทเพลงเช่น Petrushka ของ Stravinski หรือท่อนช้าในซิมโฟนีบทแรกของ Elgar

  บทประพันธ์เชลโล คอนแชร์โต ในยุคต่างๆ 

ยุค Baroque 
ในยุคบาโร้ค นอกจาก Concerto grosso ซึ่งเชลโลทำหน้าที่บรรเลงแนวเสียงเบสในกลุ่มเครื่องดนตรีประกอบ เพราะว่านักประพันธ์ในยุคนั้นยังไม่ได้คิดถึงเชลโลในฐานะของเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว คอนแชร์โตบทแรกสำหรับเชลโลนั้นประพันธ์โดย Giusepe Jaccini ในปี 1701 ส่วน Antonio Vivaldi ได้ประพันธ์คอนแชร์โตบทสั้นๆ สำหรับเชลโล 1 หรือ 2 ตัว ไว้จำนวนหนึ่งเช่นเดียวกับโซนาต้าและกลุ่มเครื่องดนตรีอื่นจำนวน 6 บท และนักประพันธ์เพื่อนร่วมชาติของทั้ง 2 ท่าน Leonardo Leoได้ตีพิมพ์บทประพันธ์คอนแชร์โตจำนวน 6 บทในช่วงทศวรรษปี 1730

ยุค Classical 
ในยุคคลาสสิคนี้เอง ที่เชลโลเป็นอิสระมากขึ้นจากการเป็นเพียงเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบ โดยมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นในงานดนตรีแชมเบอร์มิวสิคควบคู่ไปกับบทประพันธ์คอนแชร์โตที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ในบรรดาคอนแชร์โตยุคแรกๆ ที่โดดเด่นนั้นเป็นผลงานประพันธ์ของ Luigi Boccherini เช่น คอนแชร์โตในบันไดเสียงบีแฟลทเมเจอร์ ในปี 1770 แต่มาประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมโดยนักเชลโล Leopold Grutzmacher โดยเพิ่มไลน์ของเชลโลและเรียบเรียงในท่อนช้าขึ้นใหม่

Haydn 
คีตกวีร่วมสมัยเดียวกับ Boccherini ได้ประพันธ์คอนแช์โตชั้นเยี่ยมไว้ 2 บท โดยบทแรกนั้นอยู่ในบันไดเสียงดีเมเจอร์ แต่เดิมเชื่อกันว่าแต่งให้กับลูกศิษย์ Anton Kraft จนกระทั่งมีการค้นพบต้นฉบับของจริง ส่วนในบทที่ 2 ในบันไดเสียงซีเมเจอร์นั้นมีเพียงชื่ออยู่ในลำดับผลงานเท่านั้น จนกระทั่งมีการค้นพบต้นฉบับที่กรุงปรากประเทศเชคโกสโลวาเกียเมื่อปี 1961 ส่วนคอนแชร์โตอีก 3 บทนั้นยังคงสูญหายตราบจนทุกวันนี้

Beethoven 
ได้ประพันธ์โซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนไว้ 5 บท โดยเฉพาะใน Op. ที่ 56 หรือที่เรียกว่า Triple Concerto โดยเครื่องดนตรีที่บรรเลงเดี่ยวประกอบด้วยเปียโน ไวโอลิน และเชลโล ถือเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในยุคกลางของท่าน ผลงานชิ้นนี้ประพันธ์เสร็จในปี 1804 ต่อมาได้ทำให้เชลโลมีบทบาทโดดเด่นเหนือเครื่องดนตรีอื่นๆ ในฐานะเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว

ยุค Romantic 
Schumann 
ผลงานคอนแชร์โตของยุคโรแมนติคในช่วงแรกๆ นั้น ได้แก่คอนแชร์โตของ Schumann ใน Op. ที่ 129 ในปี 1850 เช่นเดียวกับไวโอลินคอนแชร์โตในช่วงเดียวกันนั้นของ Mendelssohn ที่วงออร์เคสตร้าบรรเลงพร้อมกันในช่วงเริ่มต้นของบทเพลงเช่นเดียวกับในยุคคลาสสิค และบรรเลงต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดในแต่ละกระบวน ท่านใช้การประพันธ์ในแต่ละท่อนที่เป็นอิสระ แม้แต่ในช่วงเริ่มต้นกระบวนสุดท้ายของทั้ง 3 ท่อน ซึ่งมีโครงสร้างหลักเช่นเดียวกับ 2 กระบวนที่ผ่านมาเช่นเดียวกับในบทสุดท้ายของซิมโฟนีหมายเลข 9 ของบีโธเฟน

Saint-Saens 
ประพันธ์คอนแชร์โตไว้ 2 บท โดยบทที่ 2 นั้น (Op. ที่ 119 ในบันไดเสียงดี ไมเนอร์ ในปี 1902) ไม่เป็นที่รู้จักมากนักแม้ในปัจจุบัน แต่ในบทที่ 1 ใน Op. 33 เป็นที่นิยมมากในหมู่นักเชลโลเช่นเดียวกับคอนแชร์โตของเพื่อนนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสชาติเดียวกับท่าน Edouard Lalo 

Brahms 
งานแชมเบอร์ มิวสิคของท่านมีลักษณะเด่นคือเสียงที่ทุ้มต่ำของสายเบสที่นิยมใช้เสมอๆ ท่านอาจจะประพันธ์เชลโลคอนแชร์โตที่สง่างาม แต่ผลงานที่ยอดเยี่ยมคือดับเบิ้ลคอนแชร์โตสำหรับไวโอลินกับเชลโลและออ์เคสตร้า Op. 102 ที่เขียนให้กับJoseph Joachim และ Robert Hausmann ที่ต้องการให้เชลโลได้โดดเด่นเช่นเดียวกับทริปเปิ้ลคอนแชร์โตของบีโธเฟน นอกจากนั้นท่านยังได้เปิดโอกาสให้เชลโลได้บรรเลงเดี่ยวอย่างยาวนานในกระบวนช้าในเปียโนคอนแชร์โตบทที่ 2 ของท่าน 

Dvorak 
ได้ประพันธ์คอนแชร์โตที่ยอดเยี่ยมที่สุดของศตวรรษที่ 19 ซึ่ง Brahms สามารถยืนยันได้ดี เขากล่าวว่ามันเป็นไปได้ที่จะประพันธ์ผลงานที่ดีเยี่ยมเช่นนั้นได้ และเขาคงจะต้องทำเช่นนั้นบ้างแน่ๆ คอนแชร์โตในบันไดเสียงบีไมเนอร์ Op. ที่ 104 นั้นถือเป็นบทที่ 2 โดยบทแรกอยู่ในบันไดเสียง เอ เมเจอร์ ประพันธ์ขึ้นในปี 1865 แต่เหลืออยู่แค่เพียงโน้ตเปียโนต้นฉบับเท่านั้น ท่านเริ่มแต่งคอนแชร์โตบทที่ 2 ในปี 1894 ในขณะที่พำนักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และเสร็จสมบูรณ์ในปีถัดมาที่กรุงปราก ท่านต้องการมอบคอนแชร์โตบทนี้ให้กับนักเชลโลชาวเชค Hanus Wilhan แต่นำออกแสดงครั้งแรกโดย Leo Stern ที่กรุงลอนดอนในปี 1896

   แชมเบอร์มิวสิค: จากบาโร้คถึงโรแมนติค 
Bach Suite สำหรับเดี่ยวเชลโลจำนวน 6 บทของบาคถือเป็นผลงานที่สำคัญที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่งานเดี่ยวเชลโลที่ไม่มีดนตรีอื่นๆ ประกอบเท่านั้น แต่เป็นผลงานชิ้นสำคัญชิ้นแรกที่ประพันธ์โดยนักดนตรีที่ไม่ใช่นักเชลโล ด้วยท่วงทำนองที่สง่างามและแสดงถึงความสามารถของบาคในการเรียงร้อยท่วงทำนองที่ผสมผสานอย่างกลมกลืน ผลงานชิ้นนี้ประพันธ์ขึ้นในช่วงปี 1720 ในช่วงที่ท่านเป็น Kapellmeister ที่ Cohen ซึ่งบาคอาจจะตั้งใจมอบให้กับนักเชลโลประจำราชสำนัก Christian Linke โดยในบทที่ 5 นั้นแต่งขึ้นในฟอร์มของ Scordatura 

ผลงานโซนาต้าประกอบเครื่องดนตรีอื่นๆ เป็นที่นิยมประพันธ์จนถึงปลายยุคบาโร้คและมีเป็นจำนวนมาก ผลงานที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันนั้นเป็นผลงานที่เขียนโดย Boccherini 

Beethoven 
ได้ประพันธ์ดูโอโซนาต้าของยุคคลาสสิค ทำให้เชลโลได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโซนาต้าหลายบทใน Op. ที่ 5 ที่ท่านประพันธ์ขึ้นในปี 1796 นั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นเลยทีเดียว โดยได้รับการว่าจ้างจาก Friedrich Willhem ที่ 2 แห่งปรัสเซีย นอกจากนี้เขายังได้ประพันธ์โซนาต้าอีก 3 บท หนึ่งในนั้นอยู่ใน Op. ที่ 69 ในบันไดเสียงเอ เมเจอร์ ในปี 1808 และโซนาต้าอีก 2 บทใน Op. ที่ 102 ในบันไดเสียงซี เมเจอร์และดี เมเจอร์ ในปี 1815 และเป็นจุดเริ่มต้นผลงานในช่วงท้ายๆ ของท่าน

Mendelsohn 
ผลงานโซนาต้าทั้ง 2 บทนั้นมักจะถูกมองข้ามไป โดยบทแรก Op. ที่ 45 ประพันธ์ขึ้นในปี 1838 มีความคล้ายคลึงกับVariations concertantes ในปี 1829 ผลงานในช่วงแรกๆ ของ Paul พี่ชายของท่าน ส่วนบทที่ 2 ใน Op. ที่ 58 ที่ประพันธ์ขึ้นในปี 1843 นั้น ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมากจาก Schumann มีความไพเราะสง่างาม ท่านต้องการที่จะมอบให้กับท่านเคาท์Mateusz Wielhorski แห่งโปแลนด์ ลูกศิษย์ของ Romberg

Schumann 
ได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับเชลโลและเปียโนในสไตล์เพลงพื้นเมืองจำนวน 5 เพลงขึ้นมาชุดหนึ่ง และมีการใช้เสียงของเชลโลในเพลง Adagio and allegro Op. ที่ 70 และ Fantasiestucke Op. ที่ 73 ที่ประพันธ์ขึ้นสำหรับฮอร์นและคลาริเนตตามลำดับ ซึ่งผลงานทั้ง 2 บทประพันธ์ขึ้นในปี 1849

Chopin และ Rachmaninov 
ทั้ง 2 ท่านเป็นทั้งดนตรีและนักประพันธ์ซึ่งไม่ได้เน้นผลงานแชมเบอร์ มิวสิคมากนัก มีเพียงโซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนท่านละเพียง 1 บทเท่านั้น

Brahms 
ผลงานของท่านที่เป็นที่รู้จักกันดีคือโซนาต้าจำนวน 2 บท Op. ที่ 38 ในบันไดเสียงอี ไมเนอร์ ในปี 1865 และ Op. ที่ 99 ในบันไดเสียงเอฟ เมเจอร์ ในปี 1886 นอกจากนี้ยังมีโซนาต้า Op. ที่ 6 ในบันไดเสียงเอฟ เมเจอร์ ผลงานของ Richard Straussและโซนาต้า 2 บทของ Faure ในปี 1917 และ 1921

 สำหรับดนตรีแชมเบอร์มิวสิคในยุคปัจจุบันนั้น นักประพันธ์หลายคนได้หันมาให้ความสำคัญกับดนตรีแชมเบอร์มิวสิคสำหรับเชลโลมากขึ้น ในศตวรรษที่ 19 Zoltan Kodaly คีตกวีชาวฮังกาเรียนได้ประพันธ์เพลงเชลโลโซนาต้าที่ไม่มีดนตรีประกอบ ในปี 1915 และโซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนในปี 1909-1910 ดูโอสำหรับไวโอลินและเชลโลในปี 1914 และโซนาต้าของRavel ในปี 1920-1922 ส่วน Martinu คีตกวีชาวเชคได้ประพันธ์โซนาต้าไว้ 3 บท และ Variation สำหรับเชลโลและเปียโนไว้ 2 ชุด Shostakovich และ Prokofiev ได้แต่งโซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนไว้ท่านละ 1 บท และยังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมอีก 1 บทจากนักดนตรีเพื่อนร่วมชาติของทั้ง 2 ท่านคือ Schnittke และ Benjamin Britten ได้แต่งโซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนไว้ 1 บทและงานโซโล Suite จำนวน 3 บท ผลงานของ Mstislav Rostropovich 

งานเดี่ยวเชลโลที่ไม่มีดนตรีประกอบได้แสดงถึงความหลากหลายและความสามารถในการแสดงออกของเชลโล ทำให้เชลโลได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วงหลังสงคราม นอกจากนั้น Suite ของ Britten สามารถอ้างอิง Serenade ของ Henze ได้

ผลงานโซนาต้าของนักประพันธ์ชาวอเมริกัน George Crumb และ Trois strophes sur le nom de Sacher ของ Henri Dutilleux หนึ่งในผลงานหลายๆ ชิ้นที่ได้รับมอบหมายให้ประพันธ์ให้กับวาทยากร Paul Sacher เพื่อบรรเลงเนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดปีที่ 70 ของท่านในปี 1976 และตั้งชื่อตามชื่อของท่านนั่นเอง

งานเทศกาลที่จัดขึ้นทุกๆ 2 ปี The Biennal Cello Festival ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงผลงานประพันธ์ใหม่ๆ และเป็นงานที่ดึงดูดนักเชลโลชั้นนำจากทั่วโลกมารวมกัน เทคนิควิธีการเล่นเชลโลที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 นั้นเทคนิคที่ยอดเยี่ยมต่างๆ อาจจะได้พัฒนามาจนถึงจุดสูงสุดแล้วก็เป็นได้เช่นเดียวกับไวโอลิน ในยุคปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่าความสนใจจะหันไปเน้นที่การตีความของบทเพลงแทน มีนักเชลโลที่มีฝีมือชั้นนำจำนวนมากมายในศตวรรษที่ 20 และยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญของเชลโลและได้กลายเป็นเครื่องดนตรีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในบรรดาเครื่องดนตรีด้วยกัน 

ในศตวรรษที่ 20 ดูเหมือนว่าจะมีผลงานประพันธ์ชิ้นสำคัญๆ สำหรับเดี่ยวเชลโลมากกว่างานเดี่ยวไวโอลินด้วยซ้ำไป ในศตวรรษที่ 20 ได้มีการประพันธ์เชลโลคอนแชร์โตชิ้นเยี่ยมๆ ขึ้นมากมายเช่นผลงานในช่วงปลายๆ ของ Edward Elgar ในปี 1919 ที่เปี่ยมไปด้วยความงดงามและความรู้สึกที่หดหู่ของช่วงหลังสงคราม ส่วน Dimitri Shostakovich ได้เขียนคอนแชร์โตไว้ 2 บท บทแรกคือ Op. 107 ในปี 1959 ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าบทที่ 2 คือ Op.126 ในปี 1966 และนักประพันธ์ชาวโปแลนด์ Krzystorf Penderecki และ Witold Lutoslawski ทั้งคู่ได้ประพันธ์คอนแชร์โตไว้จำนวนหลายบท โดยเฉพาะผลงานชิ้นสุดท้ายถือเป็นผลงานชิ้นที่ดีที่สุดในช่วงหลายทศวรรษเลยทีเดียว

ในช่วงเดียวกันนั้นเองต้องถือว่าความรู้ที่เกี่ยวกับเชลโลยังไม่พัฒนาถึงขั้นสูงสุด แต่ต้องนับเป็นโชคดี ที่ในปัจจุบันมีนักทำเครื่องดนตรีหลายๆ คนได้สร้างเครื่องสายในวงออร์เคสตร้าเลียนแบบผลงานชั้นยอดของศตวรรษที่ 17-18 ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

 ยอดนักเชลโลแห่งยุค 
ในศตวรรษที่ 20 นี้คงจะไม่มีใครที่ทำให้เชลโลเป็นที่รู้จักได้ดีเกินกว่า Pablo Casals ท่านเริ่มต้นอาชีพนักดนตรีในช่วงปี 1900 โดยได้รับการอุปถัมภ์จากราชวงศ์ของสเปน และเสียชีวิตในปี 1973 เมื่ออายุ 97 หนึ่งในคุณูปการของเขาคือการฟื้นฟูและเผยแพร่ผลงาน Suite ของบาคให้เป็นที่แพร่หลาย ท่านยังเป็นนักประพันธ์ที่เป็นที่มีความสามารถอีกด้วย ซึ่งผลงานประพันธ์ของท่านไม่ได้มีแค่เชลโลเท่านั้น ภรรยาคนแรกของท่าน Guihermina Suggia เธอเป็นลูกศิษย์ของ Klengel 

ยอดนักเชลโลผู้ยิ่งใหญ่นับตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษยังรวมถึงนักเชลโลชาวรัสเซีย Gregor Piatigorsky ซึ่งท่านได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานของ Martinu และ Hindemith 

ท่านต่อมาคือนักเชลโลชาวฝรั่งเศส Piere Fournier ซึ่ง Albert Roussel และ Frank Martinu ได้อุทิศบทประพันธ์คอนแชร์โตให้ ส่วนนักดนตรีเพื่อนร่วมชาติของท่านคือ Paul Tortelier ได้เขียนหนังสือชื่อ How I play, How I teach ขึ้นในปี 1975 ในบรรดานักเชลโลรุ่นต่อๆ มาที่โดดเด่นที่สุดก็คือ Mstislav Rostropovich ชาวรัสเซีย ซึ่ง Shostakovich ได้อุทิศเชลโลคอนแชร์โต ทั้ง 2 บทให้ เช่นเดียวกับ Britten ที่ได้อุทิศบทเพลงเชลโล ซิมโฟนี โซนาต้า และสวีท 3 บทให้เช่นเดียวกัน 

นักเชลโลสาวชาวฝรั่งเศส Jacqueline du Pre เธอมีชื่อเสียงเพราะการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจนั่นเอง ต่อมาเธอได้แต่งงานกับนักเปียโนที่มีชื่อเสียงคือ Daniel Barenboim แต่ว่าช่วงชีวิตอาชีพนักดนตรีของเธอนั้นค่อนข้างสั้นเนื่องจากอาการของโรคการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ แต่เธอก็ยังเป็นครูที่มีค่าของวงการดนตรี ผลงานบันทึกเสียงการเล่นเชลโลที่ยอดเยี่ยมของเธอยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีอีกหลายคน

ในบรรดานักเชลโล่รุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่ควรจะกล่าวถึงนั้น คือนักเชลโลชาวอเมริกันได้แก่ Ralph Kirsbaum, Lynn Harrell และYo Yo Ma และนักเชลโลจากอังกฤษคือ Steven Isserlis ส่วนนักเชลโลชาวอาร์เมเนียนได้แก่ Raphael Wallfisch, Karine Georgian และนักเชลโลชาวแสกนดิเนเวียน Frans Helmerson และ Truls Mork

 Steven Isserlis ยอดนักเชลโลจากอังกฤษ

 เชลโล 
เครื่องดนตรีเสียง Tenor-bass ในตระกูลไวโอลิน ซึ่งมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับไวโอลินและวิโอลาแต่มีขนาดใหญ่กว่า นักเชลโลต้องนั่งในขณะเล่น ที่ท้ายของเชลโลมีเหล็กแหลมยาวช่วยยึดเชลโลให้อยู่ติดกับพื้นและผู้เล่นสามารถใช้เข่าประคองเชลโลไว้ ถึงแม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายไวโอลินแต่เชลโลไม่ก็ไม่ได้สร้างด้วยสัดส่วนเดียวกันทั้งหมด โดยลดขนาดความยาวของลำตัวลงแต่เพิ่มความหนาขึ้น ดังนั้นนักเชลโลจึงไม่ได้รับเสียงที่ออกมาจากตัวของเชลโลเช่นเดียวกับที่นักไวโอลินได้รับจากไวโอลิน 

Violoncello หรือที่เรียกกันว่า Cello ซึ่งชื่อเต็มๆ มีความหมายว่า ซอเบสวิโอลขนาดเล็ก (little bass viol) แต่ต่อมาได้เรียกให้สั้นลงแต่ยังคงความหมายเดิมอยู่ เชลโลนั้นตั้งเสียงเหมือนกับไวโอลินคือคู่ 5 โน้ตสำหรับเชลโลนั้นโดยปกติจะเขียนด้วยโน้ตโทนเสียงเบส นอกจากว่าเพลงนั้นจะเล่นในระดับเสียงสูงจึงจะเขียนด้วยโน้ตโทนเสียงเทอเนอร์ มีอยู่ช่วงหนึ่งประมาณศตวรรษที่ 18 โน้ตสำหรับเชลโลจะเขียนด้วยโน้ตเสียงสูงกว่าโน้ตของตัวมันเอง 1 ช่วงเสียง (Octave) ตัวอย่างเพลงสำหรับเชลโลในคีย์เสียงสูงจะพบได้ในงานประพันธ์สตริงควอเต็ทของบีโธเฟน เป็นต้น

เชลโลสามารถเล่นได้เกือบทุกเทคนิคเช่นเดียวไวโอลินไม่ว่าจะเป็น อาร์เปจโจ คอร์ด ฮาร์โมนิค และเทคนิคอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคอของเชลโลมีความยาวที่มากกว่าไวโอลิน นักเชลโลจึงต้องฝึกการยืดของนิ้วมือให้ดียิ่งขึ้น ในช่วงที่ต้องเล่นโน้ตเสียงสูง นักเชลโลต้องใช้นิ้วหัวแม่มือวางบนสายเพื่อใช้หยุดเสียงและเพื่อหาตำแหน่งที่ถูกต้องของตัวโน้ตในแต่ละโพสิชั่น คันชักของเชลโลค่อนข้างสั้นและหนักกว่าคันชักไวโอลินเล็กน้อย โดยปกติมักมีสมดุลย์ที่พอเหมาะ แต่ไม่สามารถเล่นโน้ตได้ทีละหลายๆ ตัวในคันชักเดียวเหมือนกับคันชักของไวโอลิน

การเล่น Pizzicato เหมาะกับเสียงของเชลโลเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าโดยปกติแล้วเชลโลจะให้เสียงที่กังวานมากในแต่ละโน้ตที่บรรเลง หรือแม้แต่การเล่นคอร์ดด้วยการดีดสาย ดังนั้นเชลโลจึงมีความสำคัญมากในการเล่นประกอบเครื่องดนตรีอื่นๆ ทั้งเครื่องสายอื่นๆ หรือแม้แต่เครื่องลมไม้

ในช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 เชลโลถูกใช้ในวงออร์เคสตร้าเพื่อเล่นแนวเสียงเบสคลอไปกับดับเบิ้ลเบสเท่านั้น ในดนตรีบาโร้คเชลโลเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบไปกับออร์แกนหรือฮารพ์สิคอร์ด และในวงดนตรีสตริง ควอเต็ทยุคแรกๆ เชลโลรับหน้าที่บรรเลงแนวเสียงเบส นานๆ ครั้งจึงจะมีโอกาสได้เล่นเป็นท่วงทำนองที่เป็นแนวดนตรีหลัก 

ในผลงานคีตนิพนธ์ของไฮเดินและโมสาร์ทนั้น เชลโลจึงได้มีแนวทางบรรเลงของตัวเอง และเป็นบีโธเฟนนั่นเองที่เป็นผู้ดึงเอาน้ำเสียงที่ยอดเยี่ยมของเชลโลมาใช้ในงานประพันธ์ต่างๆ ของท่าน ทั้งในงานออร์เคสต้า แชมเบอร์มิวสิค และโซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนจำนวน 5 บทของท่าน

คีตกวีร่วมสมัยหลายท่านได้ให้ความสำคัญกับบทบาทของเชลโลมากขึ้นเรื่อยๆ Richard Strauss ใช้เสียงของเชลโลเป็นตัวแทนของ Don ในงานประพันธ์ Don Quixote ส่วน Ernest Bloch ก็ได้ใช้เสียงของเชลโลเพื่อแทนเสียงของกษัตริย์โซโลมอนในผลงาน Schelomo ของท่าน 

ส่วน Villa-Lobos ได้ประพันธ์ Bachianas Brasileira สำหรับเชลโล 8 ตัวและโซปราโน นักประพันธ์อย่าง Schumann Dvorak, Elgar, Hindemith, Barber ต่างก็ได้ประพันธ์คอนแชร์โตสำหรับเชลโลไว้เป็นหลายบทด้วยกัน (Barber ยังได้ประพันธ์โซนาต้าสำหรับเปียโนและเชลโลไว้อีกด้วย) 

แต่ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเชลโลนั้นต้องนับย้อนหลังไปในปี คศ. 1720 คือผลงานสวีทสำหรับเดี่ยวเชลโลจำนวน 6 บทของคีตกวีชาวเยอรมัน โยฮัน เซบาสเตียน บาค ถือเป็นผลงานที่มีความท้าทายและเยี่ยมยอดที่สุดในบรรดาคีตนิพนธ์ทางดนตรีชั้นเยี่ยมทั้งหลาย






-----------------------------------
ที่มา : http://www.pantown.com/board.php?id=13220&area=4&name=board2&topic=179&action=view












วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

วิโอล่า

 วิโอล่า (Viola) ซินเดอร์เรลล่าแห่งเครื่องสาย 
เรื่องราวของเครื่องดนตรีชนิดนี้ช่างคล้ายคลึงกับเทพนิยายเรื่องซินเดอเรลล่าเมื่อเทียบกับเครื่องสายในตระกูลเดียวกัน‘ Viola’ ในภาษาอิตาเลี่ยนหมายถึงซอวิโอล (Viol) 

ในช่วงศตวรรษที่ 16 และต้นศตวรรษที่ 17 มักจะพบเครื่องดนตรีที่ชื่อ da gamba หรือ da braccio ซึ่งแสดงถึงเครื่องสายที่พัฒนามาจากเครื่องดนตรีตระกูลเดียวกัน วิโอล่าก็เช่นเดียวกับไวโอลิน ปรากฎอยู่ในภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่วิหาร Saronno Cathedral ซึ่งเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1535 ต่อมาในศตวรรษที่ 16 วิโอล่าได้พัฒนาตัวเองเป็นเครื่องดนตรีเสียง Alto หรือ Tenor ในตระกูลไวโอลิน 

โครงสร้างของวิโอล่า 
วิโอล่าจำนวนมากจากยุค Renaissance ตอนปลายและต้นยุค Baroque ที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่ามีการสร้างขึ้นแตกต่างกันหลายขนาด รวมถึงวิโอล่าขนาดเล็กเพื่อให้มีโทนเสียงที่สูงขึ้นเพื่อเล่นในวง Ensemble และวิโอล่าขนาดใหญ่สำหรับเล่นโทนเสียงต่ำ 

วิโอล่าจะตั้งสายต่ำกว่าไวโอลินคือ C-G-D-A ซึ่งเป็นคู่ 5 เช่นเดียวกัน ปัจจุบันวิโอล่าก็ยังคงมีขนาดที่หลากหลายมากที่สุดในบรรดาเครื่องดนตรีในตระกูลเดียวกัน เพื่อให้การสะท้อนเสียงสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับไวโอลิน วิโอล่าจำเป็นต้องลดขนาดความยาวลงอีกครั้งหนึ่ง จากภาพเขียนในอดีตจะเห็นว่ามันไม่สามารถวางเล่นบนไหล่ได้ ผลของการประนีประนอมดังกล่าว ทำให้วิโอล่ามีขนาดความยาวอยู่ที่ 38 ถึง 45 ซม. (15-18 นิ้ว) ทำให้บทบาทของวิโอล่าในฐานะที่เป็นเครื่องดนตรีแสดงเดี่ยว ช้ากว่าไวโอลินและเชลโลซึ่งเป็นเครื่องดนตรีในตระกูลเดียวกัน

 บทบาทของวิโอล่า 
เเม้ว่าจะมีวิโอล่าจำนวนมากที่ตกทอดมาจากศตวรรษที่ 16 และ 17 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทของวิโอล่าในฐานะเครื่องดนตรีที่เป็นส่วนเติมเต็มของท่วงทำนองเท่านั้น ความถ่อมตัวดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องดนตรีชนิดนี้ วงเครื่องสาย 5 ชิ้นและวิโอล่าอีก 2 คัน ถือเป็นสิ่งแปลกในดนตรีฝรั่งเศสยุคศตวรรษที่ 17 เช่น ผลงานของ Jean-Baptisete Lully หนึ่งในคีตกวีที่หลงใหลในน้ำเสียงของวิโอล่า เเม้ว่าจริงๆ แล้วน้ำเสียงของวิโอล่าไม่สามารถเทียบความสดใสกับไวโอลินได้เลย รวมทั้งไม่สามารถเทียบกับประโยชน์ของเชลโลในการเล่นทำนองเสียงเบสได้เช่นเดียวกัน นักวิโอล่าซึ่งมีจำนวนน้อยอยู่แล้ว แม้แต่นักวิโอล่าที่เชี่ยวชาญก็ถูกมองว่ามีทักษะที่ไม่อาจเทียบกับนักไวโอลินได้เลย เป็นเพียงนักดนตรีมือใหม่ที่พึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ในสำนวนสมัยใหม่ซึ่งเปรียบเทียบวิโอล่าไว้ว่า “นักเป่าฮอร์นที่ไม่มีฟัน”

นอกจากนั้น ภาษาดนตรีชั้นสูงในยุคบาโร้ค ไม่มีที่ว่างสำหรับวิโอล่าในวงโซนาต้าสำหรับเครื่องดนตรี 3 ชิ้น (Trio Sonata) ซึ่งประกอบด้วยเครื่องดนตรีเสียงสูง 2 ชิ้นและเครื่องดนตรีเดินทำนอง (Continuo) อีก 1 ชิ้น หรือในส่วนของงานประพันธ์ออร์เคสตร้า Concerto grosso นิยมใช้กลุ่ม Concertino ที่ประกอบด้วยไวโอลิน 2 คันและเชลโลมากกว่า มีเพียงช่วงปลายๆ ยุคเท่านั้นที่พบว่าคีตกวี เช่น Francesco Geminiani ได้ขยายขอบเขตงานประพันธ์ Concertino โดยเปิดโอกาสให้วิโอล่าได้เเสดงเดี่ยว

งานประพันธ์ออร์เคสตร้าในช่วงปลายยุคบาโร้คและตอนต้นของยุคคลาสสิค บทบาทของวิโอล่าไม่ได้ถูกละเลยเสียทีเดียว แต่มักจะถูกใช้คู่กับไวโอลินสองในโทนเสียงเดียวกัน แต่โดยทั่วไปแล้วจะใช้เล่นแนวเสียงเบสที่สูงกว่า 1 ขั้นคู่เสียงมากกว่า และคงใช้อยู่จนถึงตอนต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งการเพิ่มวิโอล่าเข้าไปในงานประพันธ์ดนตรีวงออร์เคสตร้า (Tutti) ได้กลายเป็นเรื่องปกติมากๆ ยิ่งกว่านั้น คีตกวีไม่ต้องการที่จะให้ความสำคัญใดๆ กับบทบาทของวิโอล่ามากนัก เช่น ในช่วงท้ายของซิมโฟนีบทที่ 9 (ค.ศ. 1824) ในกระบวนช้า พบว่าบีโธเฟนได้ให้วิโอล่าได้เล่นคู่กับไวโอลินแนวที่สองเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้จังหวะที่ช้าและสง่างามตามที่ต้องการเท่านั้น 

ในการซ้อมครั้งแรกของบทเพลงซิมโฟนี่หมายเลข 6 ในบันไดเสียง บี ไมเนอร์ ‘ Pathetique ’ (ค.ศ. 1893) ของไชคอฟสกี้ ลองจินตนาการถึงความประหลาดใจหรือจะเรียกว่าช็อคก็ได้ เมื่อบรรดานักวิโอล่พบว่าพวกเขาต้องเป็นผู้ที่เล่นทำนองหลักในกระบวนแรกด้วยตัวของพวกเขาเอง

 เครื่องดนตรี Viola da Gamba

  เครื่องดนตรี Viola da braccio

 ยุคทองของวิโอล่า 
อิสระภาพที่เเท้จริงของวิโอล่าเกิดขึ้นในงานประพันธ์แชมเบอร์มิวสิค และที่สำคัญที่สุดคือการถือกำเนิดของวงเครื่องสาย 4 ชิ้น (String quartet) เเม้ว่าศักยภาพของการเล่นจะไม่นุ่มนวลเท่าไวโอลินก็ตาม ในงานควอเต็ทหลายๆ ชิ้น เช่น งานยุคแรกๆ ของไฮเดิ้น ซึ่งเป็นคีตกวีที่มีบทบาทมากกว่าคีตกวีคนอื่นๆ ในยุคนั้น เเละดูเหมือนว่าวิโอล่ายังคงตามหลังเชลโลในเรื่องขั้นคู่เสียงและแม้แต่ในรื่องน้ำเสียง มีเพียงบทเพลงสำหรับวงสติงควอเต็ทโอปุส 33 ปี 1781 ที่วิโอล่ามีบทบาททัดเทียมกับเครื่องดนตรีอื่นๆ เท่านั้นที่ถือว่าประสบความสำเร็จ

ก้าวต่อไปของวิโอล่าคือบทบาทในงานประพันธ์เพลงสำหรับวงเครื่องสาย 5 ชิ้น (String Quintet) ในงานของโมสาร์ท ซึ่งใช้วิโอล่า 2 คัน นักวิโอล่าที่ 1 บรรเลงควบคู่ไปกับนักไวโอลิน แต่ในงานประพันธ์ของโมสาร์ทนั้น วิโอล่ามักจะได้รับบทบาท Concertante เช่นในกระบวนช้าของเพลง C major Quintet (K515) อย่างไรก็ตาม แม้แต่ในงานคีตนิพนธ์ของโมสาร์ทเองก็พบว่ามีผลงานบางชิ้นที่ดัดเเปลงจากงานควินเต็ทรวมถึงเปียโนควอเต็ทของเขาด้วย โดยเพิ่มวิโอล่าเข้าไปในบทเพลงซึ่งเป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว เช่น ในคีตนิพนธ์สำหรับเครื่องดนตรี 3 ชิ้นคือ เปียโน ไวโอลิน และเชลโล ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงสำหรับเขาพอสมควร เขายังถูกประชดชันอีกว่า บทเพลงทริโอสำหรับเครื่องดนตรีสามชิ้นซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ Kegelstadt (‘ Skittle-ground ’) สำหรับคลาริเน็ต วิโอล่า เเละเปียโน (K498) ประพันธ์ขึ้นในขณะที่กำลังเล่นโบว์ลิ่ง 

เพื่อให้การเล่นในวงดนตรีเเชมเบอร์มิวสิค นักวิโอล่าจำเป็นต้องมีเทคนิคที่หลากหลายมากขึ้นกว่าเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ ในวง การมีบทบาทที่เทียบเท่ากับไวโอลินหรือเชลโลนั้น วิโอล่าจำเป็นต้องมีเทคนิคที่สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ในศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงที่วิโอล่ามีบทบาทมากในงานประพันธ์ต่างๆ เช่น ในงานประพันธ์ Octet ที่เต็มไปด้วยความสดใสร่าเริงของ Mendelssohn หรืองาน Sextet ที่ประกอบด้วยเครื่องสาย 2 ชิ้นหลายๆ บทของ Brahms แตกต่างจากในยุคแรกๆ ที่วิโอล่าถูกมองว่าขาดความสดใสของน้ำเสียง 

คีตกวีในยุคโรแมนติคเริ่มมองเห็นคุณค่าน้ำเสียงที่ละเอียดอ่อนของวิโอล่ามากขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มหนักเเน่นไม่ใช่น้ำเสียงที่หม่นมัวอีกต่อไป มันได้เปิดโลกแห่งศักยภาพใหม่ๆ ให้กับนักดนตรีวงออร์เคสตร้า ในขณะที่บทเพลงสำหรับเดี่ยววิโอล่ายังคงมีไม่มากนัก ไม่มีคอนแชร์โตบทสำคัญๆ และมีโซนาต้าที่สำคัญเพียงไม่กี่บทเท่านั้น เเม้จะมีผลงานของ Mendelsshon, Glinka และ โซนาต้าสำหรับคลาริเนต 2 บทผลงานของ Brahms ที่เรียบเรียงสำหรับการเล่นด้วยวิโอล่า รวมถึงบทเพลง Marchenbilder ของ Schumann ที่จะลืมไม่ได้เช่นกัน ในยุคนี้ยังไม่มีครูสอนวิโอล่าที่สำคัญๆ ทำให้เทคนิคของวิโอล่าแตกต่างจากไวโอลินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวิโอล่าเกิดขึ้นในศตวรรษนี้เอง โดยเฉพาะความพยายามของนักวิโอล่ายุคบุกเบิก เช่น Lionel Tetris และ William Primrose รวมถึงคีตกวีซึ่งเป็นนักวิโอล่าอย่าง Paul Hindemith วิโอล่าจึงไม่เป็นเพียงไวโอลินชั้น 2 อีกต่อไป แต่มีส่วนร่วมและมีบทบาทที่เสมอภาคทั้งในวงดนตรีขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ผลที่ได้ทำให้มีเพลงบรรเลงเดี่ยวที่มากขึ้นกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ และเติบโตขึ้นนับเเต่นั้นเป็นต้นมา ความนิยมของวิโอล่าที่เพิ่มขึ้น ทำให้เครื่องดนตรีซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของ Bach, Mozart และ Schubert วิโอล่าได้พบตำแหน่งที่เหมาะสมของตัวเองบนเวทีคอนเสิร์ทแล้ว

 Robert Schumann (1810-1856)

   Viola Concerto ที่มีชื่อเสียง 

Johann Sebastian Bach 
วิโอล่าถูกปฏิเสธในฐานะเครื่องดนตรีแสดงเดี่ยวมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ยุคบาโร้คเป็นต้นมามีบทประพันธ์คอนเเชร์โตสำหรับวิโอล่าเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น บทประพันธ์ที่สำคัญที่สุดก็คือ Brandenburg Concerto หมายเลข 6 (1718) ของ Bach มันเป็นงานเเชมเบอร์คอนเเชร์โตซึ่ง 2 กระบวนแรกบรรเลงด้วยวิโอล่า 2 คัน และบรรเลงทำนองประกอบด้วย Viole da gamba อีก 2 คัน เชลโล และเบส ส่วนในกระบวนช้า วิโอล่า 2 คันและเชลโลจะบรรเลงในแบบแผนของ Trio Sonata 

Georg Philipp Teleman 
Teleman เป็นคีตกวีรวมสมัยเดียวกับ Bach เขาได้สร้างสรรค์ผลงานออกมาเป็นจำนวนมากที่สุดคนหนึ่ง จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเขาเป็นผู้ที่เขียนคอนเเชร์โตบทแรกสำหรับวิโอล่าขึ้น คอนเเชร์โตบทนี้อยู่ในบันไดเสียง G major นอกจากนั้นยังมีคอนเเชร์โตสำหรับ Violetti 2 คัน ซึ่งอยู่ในบันไดเสียง G major เช่นเดียวกัน 

Wolfgang Amadeus Mozart 
Mozart เป็นนักวิโอล่าเช่นกัน เขาให้บทบาทและความสำคัญกับเครื่องดนตรีชนิดนี้ในงานแชมเบอร์ค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่มีงานประพันธ์คอนเเชร์โตสำหรับวิโอล่า บทประพันธ์ Sinfonia concertante (K364) สำหรับไวโอลิน วิโอล่า เชลโล และออร์เคสตร้า เป็นผลงานที่เปี่ยมด้วยความสง่างามมาก Mozart ประพันธ์งานชิ้นนี้ขึ้นในปี 1779 ความตั้งใจของ Mozart ในเพลงนี้ซึ่งเขาคิดว่าการเดี่ยววิโอล่าควรจะปรับเสียงให้สูงขึ้นครึ่งเสียงเพื่อให้มีความสดใสสมดุลกับไวโอลิน แต่ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้กันแล้ว 

ถ้าผลงานอยู่ในบันไดเสียง E flat วิโอล่าควรจะเล่นในคีย์ D major ที่สดใสกว่า ทำให้ต้องเล่นสายเปล่ามากขึ้น ในทั้ง 3 กระบวนของงานประพันธ์ออร์เคสตร้าสำหรับวิโอล่านั้น วิโอล่าถูกแบ่งเป็นวิโอล่า 1 และวิโอล่า 2 เช่นเดียวกับไวโอลิน ซึ่ง Mozart ได้เขียนโครงร่างเอาไว้แต่ยังประพันธ์ไม่เสร็จทั้งผลงานสำหรับไวโอลิน วิโอล่า เชลโล และออร์เคสตร้า

Hector Berlioz 
เขาได้ประพันธ์ผลงาน Concertante เอาไว้จำนวน 2 บท ซึ่งถือเป็นบทประพันธ์ที่ดีที่สุดของศตวรรษที่ 19 แต่ก็ไม่ใช่งานคอนเเชร์โตสำหรับวิโอล่า เมื่อปากานินี่แนะนำ Berlioz ให้ประพันธ์งานเดี่ยววิโอล่าเพราะอยากอวดวิโอล่า Stradiavari ในครอบครองของเขา ผลลัพธ์ที่ได้คือบทประพันธ์ซิมโฟนี่ “ Harold in Italy ” ซึ่งมี Viola Obbligato แต่ปากานินี่ได้ปฏิเสธการแสดงบทประพันธ์ชิ้นนี้เนื่องจากเทคนิคของเขายังไม่สมบูรณ์ ผลงานชิ้นนี้เสร็จสมบูรณ์ในปี 1834 โดยให้นักเดี่ยววิโอล่ารับบทวีรบุรุษตามชื่อเรื่อง

Richard Strauss 
เขาได้นำเอาเทคนิคของ Berlioz มาใช้ในงานประพันธ์โทนโพเอ็ม (Tone-poem) ที่มีชื่อเสียงของเขาคือ Don Quixote ที่ประพันธ์ขึ้นในปี 1897 โดยใช้เสียงเดี่ยวเชลโลและวิโอล่าแทนเสียงของ Quixote และ Sancho Panza ตามลำดับ

William Walton 
เขาประพันธ์ผลงานชิ้นนี้เสร็จในปี 1929 และแก้ไขใหม่ในปี 1961 ผลงานชิ้นนี้ส่งให้เขากลายเป็นนักดนตรีรุ่นใหม่มาแรงของวงการดนตรีอังกฤษ แม้ว่าจะเป็นงานประพันธ์ยุคแรกๆ ของเขา แต่มันกลับถูกปฏิเสธจาก Lionel Tetris นักวิโอล่าที่ได้รับมอบหมายให้นำออกแสดงเป็นคนแรกเนื่องจากมีแนวคิดที่ล้ำสมัยเกินไป ต่อมาจึงได้มอบให้กับ Hindemith เป็นผู้นำออกแสดงเป็นคนเเรกแทน

Paul Hindemith 
เขาได้สร้างสรรค์ผลงานการประพันธ์มากกว่าคีตกวีคนใดๆ ในการประพันธ์บทเพลงสำคัญๆ ให้กับยุคศตวรรษที่ 20 ซึ่งตัวเขาเป็นนักวิโอล่าอยู่แล้ว นอกจากบทประพันธ์โซนาต้าสำหรับวิโอล่าจำนวนหลายบทแล้ว เขายังได้ประพันธ์ Concertante สำหรับวงออร์เคสตร้าอีก 4 บท ประกอบด้วย Kammermusik No. 5 (1927) Konzertmusik (1930) คอนเเชร์โต (Der Schwanendreher) ที่ได้เค้าโครงมาจากดนตรีพื้นเมือง และ Trauermusik (1936) ซึ่งอุทิศให้กับกษัตริย์จอร์จที่ 5 (George V) 

Bela Bartok 
ในปี 1945 ยอดนักนักวิโอล่าแห่งศตวรรษ William Primrose ได้รับมอบหมายจาก Bartok ให้เป็นผู้บรรเลงคอนเเชร์โตของเขา แต่ผลงานชิ้นนี้กลับประพันธ์ไม่จบเนื่องจากการเสียชีวิตของ Bartok แต่ผลงานชิ้นนี้ถูกเรียบเรียงขึ้นใหม่จากเค้าโครงร่างของ Bartok โดย Tibor Serly ผลงานชิ้นนี้ได้รับการยอมรับให้เป็นผลงานชิ้นสำคัญบทหนึ่งของบทประพันธ์วิโอล่า

 นักวิโอล่าที่มีชื่อเสียง 
การถือกำเนิดขึ้นของนักวิโอล่าชั้นนำแห่งยุคเป็นปรากฎการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้เอง สะท้อนให้เห็นถึงสถานภาพทางประวัติศาสตร์ที่คลอนเเคลนของเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี นักดนตรีส่วนใหญ่ในยุคก่อนๆ โดยเฉพาะนักดนตรีในวงออร์เคสตร้าส่วนใหญ่มักจะเลือกเป็นนักไวโอลิน แต่อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันดีว่าคีตกวีหลายๆ คนในยุคศตวรรษที่ 18 และ 19 นิยมเล่นนักวิโอล่ามากกว่าไวโอลิน เช่น J.S. Bach, Mozart และ Schubert 

และนี่คือชื่อของสุดยอดนักวิโอล่าซึ่งชื่อเสียงของพวกเขาผูกพันกับเครื่องดนตรีชนิดนี้และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีเช่นเดียวกับสุดยอดนักไวโอลิน

Nicolo Paganini 
เขาไม่เพียงแต่เล่นวิโอล่าเท่านั้นแต่ยังประพันธ์บทเพลงสำหรับวิโอล่าไว้ด้วย แม้ว่าจะไม่มากเท่ากับงานประพันธ์สำหรับไวโอลินก็ตาม บทประพันธ์ที่สำคัญก็คือ Terzetto concertante สำหรับวิโอล่า เชลโล และกีตาร์ (ค.ศ. 1833) 

Paganini ยังมีชื่อเสียงในฐานะของนักกีตาร์อีกด้วย ผลงานที่น่าประหลาดใจที่ชื่อ Sonata per gran viola and orchestra (ค.ศ. 1834) และบทประพันธ์ ‘ Large viola ’ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่มี 5 สาย Paganini ยังได้ปฏิเสธการแสดงบทประพันธ์ของ Berlioz ที่อาจจะเป็นผลงานวิโอล่าที่ดีที่สุดของเขา

Lionel Tetris 
เขาเป็นนักวิโอล่ายุคบุกเบิก ผู้ฟื้นฟูวิโอล่าในฐานะของเครื่องดนตรีแสดงเดี่ยว ในวัยเด็กเขาเริ่มเรียนไวโอลินที่สถาบันการดนตรี Leipsig Conservatoire เขาอุทิศตนให้กับวิโอล่าโดยการหาประสบการณ์จากการเล่นวงควอเต็ทต่างๆ ในช่วงอาชีพการเป็นนักวิโอล่าที่ยาวนานนั้น เขาออกแสดงในฐานะยอดนักวิโอล่าและได้ถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาเป็นหนังสือ 3 เล่มคือ “Beauty of tone in string playing ” (ค.ศ. 1938) และหนังสืออัตชีวประวัติที่ตั้งชื่อได้อย่างเหมาะสมว่า “ Cinderella no more ” (ค.ศ. 1953) และ “ My viola and I ” (ค.ศ. 1974) 

เขาเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดงานประพันธ์วิโอล่าในศตวรรษที่ 20 หลายๆ ชิ้น รวมถึงคอนเเชร์โตของ Walton แต่ข้อเสียข้อใหญ่ของเขาสำหรับประวัติศาสตร์ของวิโอล่าคือ เขาไม่สนใจในบทประพันธ์ร่วมสมัยเท่าใดนัก มีเพียงผลงานของ Walton เท่านั้นที่เขามีส่วนเกี่ยวข้อง และเขาไม่เคยนำผลงานประพันธ์วิโอล่าของ Hindemith ออกแสดงเลย

William Primrose 
นักวิโอล่าร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงชาวสก็อตแลนด์ เขาเริ่มต้นการเป็นนักดนตรีด้วยการเป็นนักไวโอลินเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เริ่มหันมาสนใจการเล่นวิโอล่าตามคำแนะนำของ Eugene Ysaye ผู้เป็นอาจารย์ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะใช้ชีวิตการนักดนตรีอยู่ในสหรัฐอเมริกา เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มวิโอล่าในวง NBC Symphony Orchestra ภายใต้การกำกับวงของ Toscanini ตั้งแต่ปี 1937 ถึง 1942 ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัย Southern California และมหาวิทยาลัย Indiana หลังจากนั้นเขาได้ก่อตั้งวงควอเต็ทของตนเองขึ้นในปี 1937 และได้ตีพิมพ์หนังสือ “ A method for violin and viola players ” ในปี 1960 ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือได้รับมอบหมายให้สานงานคอนเเชร์โตที่ยังประพันธ์ไม่เสร็จสมบูรณ์ของ Bartok

William Primrose

 Frederick Riddle 
เขาเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มวิโอล่าของวง London Philharmonic และวง Royal Philharmonic เขามีความสนใจในดนตรีร่วมสมัยเป็นพิเศษ เเละเป็นนักวิโอล่าคนแรกที่นำบทประพันธ์คอนเเชร์โตของ Walton ออกแสดงในปี ค.ศ. 1737 นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้ที่คีตกวีอย่าง Martin Dalby และ Justin Connolly อุทิศบทประพันธ์คอนเเชร์โตของพวกเขาให้

Yuri Bashmet 
เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดนักวิโอล่าแห่งยุคปัจจุบัน และว่ากันว่าเขายังเคยเป็นนักกีตาร์ในวงร็อคซึ่งมีอิทธิพลกับเขาในช่วงแรกๆ Bashmet เริ่มเปลี่ยนมาเล่นวิโอล่าในช่วงวัยรุ่นหลังจากที่เข้าศึกษาดนตรีในฐานะนักไวโอลิน หลังจากนั้นเขาได้ศึกษากับ Vadim Borisovsky ที่สถาบันการดนตรี Moscow Conservatoire เขาชนะรางวัล Munich Competition อันทรงเกียรติในปี ค.ศ. 1976 และยังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งกลุ่ม Mosco Soloists ซึ่งเขาได้นำบทประพันธ์คอนเเชร์โตของ Schnittke ออกแสดงเป็นครั้งแรกด้วย ปัจุบันเขายังคงออกเเสดงคอนเสิร์ทร่วมกับวงออร์เคสตร้าชั้นนำทั่วโลกอย่างสม่ำเสมอ

 Yuri Bashmet









------------------------------------------
ที่มา : http://www.pantown.com/board.php?id=13220&area=4&name=board2&topic=84&action=view





วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

ไวโอลิน


ไวโอลิน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไวโอลิน

ประเภทเครื่องดนตรี

เครื่องดนตรีที่เกี่ยวข้อง

ชื่อเรียกในภาษาต่างๆ
Violin
Violon
Violín
Violine, Geige
Violino
Violino
Скрипка
바이올린
小提琴、提琴
ヴァイオリン
ไวโอลิน เป็นเครื่องดนตรีที่ทำให้เกิดเสียงระดับเสียงสูงในกลุ่มเครื่องดนตรีคลาสสิกประเภทเครื่องสาย (String instruments) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากโลกตะวันตก เป็นเครื่องดนตรีตระกูลไวโอลินที่เล็กที่สุด อันประกอบไปด้วย ไวโอลิน วิโอลา เชลโล และ ดับเบิลเบส เมื่อนำทั้งหมดมาเล่นร่วมกันแล้วจะเรียกว่า วงเครื่องสาย(string) ซึ่งเป็นตระกูลเครื่องดนตรีหลักของ วงออร์เคสตรา

 


ประวัติ

lira da braccioเครื่องดนตรีที่คาดว่าเป็นแม่แบบของเครื่องดนตรีตระกูลไวโอลิน

ภาพ Suonatore di liuto (พ.ศ. 2138 - 2139) วาดโดย Michelangelo Merisi ซึ่งแสดงให้เห็นเครื่องดนตรีคล้ายๆไวโอลินวางอยู่บนโต๊ะ
ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดไวโอลินได้ปรากฏขึ้นเมื่อช่วงเวลาใด แต่คาดว่าปรากฏขึ้นครั้งแรกในประเทศอิตาลีช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งเชื่อกันว่าผู้ผลิตนั้นดัดแปลงมาจากเครื่องดนตรียุคกลาง 3 ชนิด อันได้แก่ เรเบค (rebec) ซอเรอเนซองซ์ (the Renaissance fiddle) และ ลีรา ดา บราชโช (lira da braccio) ซึ่งเครื่องดนตรีทั้ง 3 ชนิดนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับไวโอลิน แต่หลักฐานที่แน่นอนที่สุดก็คือ มีหนังสือที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับไวโอลินในปี พ.ศ. 2099 (ค.ศ. 1556) แล้ว โดยได้ตีพิมพ์ที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส และคาดว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ไวโอลินน่าจะเผยแพร่ไปทั่วทวีปยุโรปแล้ว
ไวโอลินที่ถือว่าเป็นคันแรกของโลกถูกสร้างขึ้นโดย อันเดร์ อมาตี (Andrea Amati) ในช่วงครึ่งศตวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยการว่าจ้างของครอบครัวเมดิซี ซึ่งต้องการเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ต่อมาด้วยคุณภาพที่ดีของเครื่องดนตรี พระเจ้าชาลส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศส จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ อันเดร์ ประดิษฐ์ไวโอลินขึ้นมาอีก เพื่อมาเป็นเครื่องดนตรีบรรเลงประเภทใหม่ของวงออร์เคสตราประจำของพระองค์ และไวโอลินที่เก่าแก่สุดและยังให้เห็นอยู่ คือไวโอลินที่ อันเดร์ ประดิษฐ์ขึ้นในเมืองเครโมนา (Cremona) ประเทศอิตาลี ซึ่งได้ถวายแด่ พระเจ้าชาลส์ที่ 4 เช่นกันตรงกับปี พ.ศ. 2109(ค.ศ. 1566)
โครงสร้างไวโอลิน

ภาพแสดงการเรียกชื่อชิ้นส่วนต่างๆของไวโอลินในภาษาอังกฤษ
โครงสร้างของไวโอลิน เรียงจากบนไปล่าง
หัวไวโอลิน (Scroll)
โพรงลูกบิด (Pegbox)
คอ (Neck)
สะพานวางนิ้ว หรือ ฟิงเกอร์บอร์ด (Fingerboard)
(Upper Bout)
เอว (Waist)
ช่องเสียง (F-holes)
หย่อง (Bridge)
(Lower Bout)
ตัวปรับเสียง (Fine Tuners)
หางปลา (Tailpiece)
ที่รองคาง (Chinrest)
ขนาดมาตรฐานของไวโอลินคือ ยาว 23.5 นิ้ว และ คันชักยาว 29 นิ้ว
การดูแลรักษาไวโอลิน
ไม้กับความชื้น (Wood and Water)
ไม้ไม่สามารถรักษาสภาพของตัวเองได้ดีนักเมื่อถูกความชื้น แม้ว่าไม้จะคงรูปได้ดีขึ้นหลังจากที่ผ่านกระบวนการอบเป็นอย่างดีก็ตาม แต่ไม้ยังคงพองหรือบวมเมื่อถูกความชื้น และหดตัวเมื่ออากาศแห้ง ไม้ที่ใช้ทำชิ้นส่วนบางอย่างของไวโอลินจะคงรูปดีกว่าไม้ที่ใช้ทำเครื่องดนตรีอื่นๆ นอกจากนั้น ไม้ทุกชนิดจะหดตัวในแนวขวางของลายไม้มากกว่าการหดตัวตามยาว
ในช่วงเดือนที่มีความชื้นสูงๆ ไม้แผ่นหน้ามักจะเกิดการขยายตัวมากกว่าอาการคอไวโอลินตก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สายไวโอลินเหนือสะพานวางนิ้วลอยสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของความชื้นในอากาศอาจเป็นสาเหตุให้การเล่นและการตอบสนองของเสียงเกิดการแกว่งตัว และอาจทำให้เกิดปัญหาที่หนักกว่านั้นคือ ไม้เกิดการปริแตกเมื่อสูญเสียความชื้นอย่างรวดเร็วกว่าที่มันดูดซึมเอาไว้ได้
การบิดตัวของไม้ (Distortion)
ธรรมชาติของไม้มีความยืดหยุ่นในตัวเอง อาจจะค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างไปตามแรงที่มากระทำ ช่างทำไวโอลินอาศัยข้อดีอันนี้ในการขึ้นรูปแผ่นไม้ด้านข้าง (Rib) หรือการดัดไม้
แต่หย่องที่งอ ไม้แผ่นหลังที่ยุบ และคอไวโอลินที่ตก เป็นผลมาจากแรงกดอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม้เริ่มบิดตัว มันจะสูญเสียความแข็งแรงจากรูปทรงเดิมอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้เกิดความเสียหายหนักตามมา
อุณหภูมิ (Temperature)
การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม้เกิดการขยายตัวและหดตัวเช่นเดียวกับวัตถุอื่นๆ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของอุณหภูมิและ ความชื้นในไม้ ควรจะใช้กล่องไวโอลินแบบสูญญากาศอย่างดี และอย่าวางไว้ไกล้รังสีความร้อนหรือวางถูกแสงแดดโดยตรง กล่องไวโอลินเกือบทุกชนิดที่บุด้วยวัสดุผิวด้านสีเข้มจะมีผลต่อการดูดซับแสงให้แปรเปลี่ยนเป็นความร้อนได้มากกว่า
การเดินทาง (Travel) ขนส่ง (Shipping) การถือ (Carrying an instrument)
ถ้าเดินทางโดยรถยนต์ อย่าวางเครื่องดนตรีไว้ในกระโปรงท้ายรถ เพราะเครื่องดนตรีจะได้รับความร้อนมาก ทำให้ได้รับความเสียหาย
เมื่อต้องส่งเครื่องดนตรีไปทางพัสดุภัณฑ์ ให้คลายสายออกเล็กน้อยและใช้วัสดุนุ่มๆ บุที่หย่องทั้ง 2 ด้านเสียก่อน ควรเก็บเครื่องดนตรีไว้ในกล่องของมันเองเพื่อความปลอดภัย หลังจากนั้นให้ห่อในกล่องสำหรับส่งของ บุรอบๆ กล่องด้วยวัสดุสำหรับห่อกล่อง
ถ้าหกล้มในขณะถือเครื่องดนตรี โดยสัญชาติญาณของคนส่วนใหญ่จะกอดกล่องไวโอลินไว้ข้างหน้า เพราะคิดว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้เครื่องดนตรีแตกหักได้ แต่น่าเสียดายว่ากลับทำให้เครื่องดนตรีพังมา ควรใช้กล่องที่แข็งแรงซึ่งจะยึดไวโอลินให้ลอยอยู่ในกล่องเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการล้มคว่ำหงาย และพยายามหัดถือกล่องด้วยมือที่ไม่ถนัดให้เคยชิน เช่น ถือด้วยมือซ้ายถ้าคุณเป็นคนถนัดขวา ซึ่งจะทำให้เหลือมือข้างที่ถนัดไว้ป้องกันตนเองได้
การทำความสะอาด (Cleaning)
การเช็ดทำความสะอาดตัวเครื่องและคันชักด้วยผ้านุ่มๆ สะอาดๆ หลังการเล่นทุกครั้งเป็นสิ่งที่ควรทำให้เป็นกิจวัตร ใช้เศษผ้าชุบแอลกอฮอล์เพื่อขจัดการเกาะตัวของยางสนบนฟิงเกอร์บอร์ด และสาย

ภาพแสดงการเรียกชื่อชิ้นส่วนต่างๆของคันชักเป็นภาษาอังกฤษ
สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือระวังไม่ให้แอลกอฮอล์สัมผัสกับผิวของวานิช และควรจะให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็คสภาพไวโอลินเป็นประจำทุกๆ ปี ช่างอาจจะปล่อยรอยคราบบางอย่างเอาไว้ และใช้น้ำยาเคลือบผิวทับลงไปบนคราบสกปรกโดยไม่จำเป็นต้องเอาออกก็ได้ กรดจากผิวหนังของคุณสามารถทำลายผิวของวานิชได้อย่างช้าๆ ดังนั้นพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวของวานิช
คันชัก (Bow)
ควรจะจับคันชักบริเวณ Frog ในขณะดึงหางม้า (Hair) ให้ตึง เพราะจะช่วยลดแรงกดที่เกลียวสกรูทองเหลือง (Screw) ที่อยู่ข้างในโคนด้ามคันชัก และช่วยป้องกันไม่ให้เกลียวหวานได้
ในขณะที่คุณเล่นไวโอลินนั้น หางม้าที่อยู่ด้านข้างคันชักที่คุณลากลงมักจะขาดก่อนเพื่อน ทำให้ความสมดุลของแรงดึงบนคันชักเสียไปจนอาจทำให้คันชักงอได้ ดังนั้นพยายามเปลี่ยนหางม้าบ่อยๆ และพยายามรักษาหนังหุ้มด้ามคันชัก (Pad หรือ Grip) ให้อยู่ในสภาพดี ถ้านิ้วโป้งของคุณไปเสียดสีกับด้ามคันชักบ่อยๆ จะทำให้คันชักได้รับความเสียหายเช่นกัน พยายามตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ และควรให้ความเอาใจใส่ปลายคันชัก (Tip) เป็นพิเศษ




















---------------
ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99