ชื่อเต็มๆ ของเชลโลคือ Violoncello ซึ่งหมายถึง little violone คำว่า violone หมายถึง Double bass แต่ที่น่าแปลกคือแม้ว่าเชลโลจะเป็นที่ยอมรับอย่างรวดเร็ว แต่ชื่อของมันเพิ่งจะมีขึ้นในศตวรรษที่ 17 นี่เอง นับเป็นเวลานานหลายศตวรรษทีเดียวหลังจากที่เชลโลได้ถือกำเนิดขึ้นมา หลักฐานในช่วงแรกๆ ที่กล่าวถึงที่มาของเชลโลนั้นค่อนข้างสับสน หลักฐานแรกคือBasso di viola da braccio ก็ดูเป็นไปได้ยาก แต่เครื่องดนตรี Bass violin ของอังกฤษนั้นดูจะใกล้เคียงกว่า เช่นเดียวกับ Bassde violon ของฝรั่งเศส แม้ว่าจริงๆ แล้วเครื่องดนตรีทั้ง 2 ชนิดจะไม่สามารถอธิบายถึงที่มาของเชลโลได้ทั้งหมดก็ตาม
ระดับเสียงของเชลโล
ในหนังสือ Musica instrumentalis deudsch ของ Argricola เป็นเอกสารยุคแรกๆ ที่กล่าวถึงเชลโลเอาไว้ เครื่องดนตรี 3 สายนี้ตั้งสายในระดับเเสียง F c g ซึ่งอยู่ในระดับเดียวและสัมพันธ์กันวิโอล่าและไวโอลิน ต่อมาเมื่อได้เพิ่มสายที่ 4 เข้าไปคือเสียงBb ถัดจากสาย F (เสียงต่ำ) นักทฤษฎีดนตรีในช่วงศตวรรษที่ 16 หลายๆ ท่านก็ได้อ้างอิงถึงการตั้งสายแบบนี้ แต่ในช่วงต้นปี 1532 ได้กล่าวถึงการตั้งเสียง C G d a ไว้ในงานเขียน Musica teusch ของ Gerle ส่วนในงานเขียนชื่อ Syntagma musicumของ Michael Praetorius ในปี 1619 ได้อธิบายถึงการตั้งเสียงของเชลโลทั้ง 2 แบบไว้ และแบบ F c g d ซึ่งระดับเสียงสูงกว่า และมีเอกสารภาพประกอบของเชลโล 5 สายที่ตั้งเสียง F’ C G d a เครื่องดนตรีนี้ตั้งเสียงต่ำจนเกือบจะเหมือนกับเบสในยุคปัจจุบัน และมีขนาดใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัดเกินกว่าที่จะสามารถประคองไว้ด้วยเข่าของผู้เล่น
การตั้งเสียงเชลโลในสมัยใหม่นั้นเกิดขึ้นที่ประเทศิตาลีในช่วงต้นของศตวรรษที่ 17 และได้รับความนิยมแพร่หลายโดยทั่วไป การตั้งเสียงต่ำนั้นอาจจะเเสดงถึง Bass violin ของอังกฤษ และ Basse de violon ของฝรั่งเศส ที่ยังคงมีใช้อยู่ในทั้ง 2 ประเทศจนถึงตอนต้นศตวรรษที่ 18

การวางนิ้วและการใช้คันชัก
แม้ว่าเชลโลจะตั้งเสียงคู่ 5 เช่นเดียวกับไวโอลินและวิโอลา แต่เนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่กว่าทำให้ไม่สามารถใช้เทคนิคการเล่นด้วยนิ้วแบบเดียวกันได้ ในการเล่นโพสิชั่นแรกของเชลโลนั้น นิ้วชี้จะให้เสียงที่สูงกว่าสายเปล่า 1 เสียง แต่ถ้าเป็น 2 นิ้วจะให้เสียงที่สูงกว่าอีก 1 เสียง และในนิ้ว 4 จะให้เสียงที่สูงกว่าครึ่งเสียงหรือ 1 เสียง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนโพสิชั่นที่ต้องอาศัยเทคนิคของมือซ้ายที่ค่อนข้างโค้ง ซึ่งเชลโลรับเทคนิคนี้มาจากไวโอลินอีกที จนกระทั่งในทศวรรษที่ 1720 เทคนิคมือซ้ายที่ค่อนข้างตรงกว่าจึงได้รับการยอมรับมากขึ้น ผู้เล่นเชลโลเริ่มตระหนักว่าบทบาทของนิ้วโป้งมือซ้ายสามารถที่ทำหน้าที่ทาบสายคล้าย Capo dastro ของกีตาร์ได้ ในขณะเดียวกันความยาวของคอเชลโลก็พัฒนาจนมีขนาดมาตรฐานประมาณ 75 ซม.หรือ 30 นิ้ว ซึ่งเป็นผลงานที่ต้องยกความดีให้กับ Antonio Stradivari ช่างทำไวโอลินที่มีชื่อเสียงชาวอิตาลีแห่งเมืองเครโมนาในยุคเรอเนสซองส์
ส่วนเทคนิคของคันชักก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 18 ก่อนหน้านี้การจับคันชักถ้าไม่เป็นแบบ Underhand grip เช่นเดียวกับซอ Viol ก็จะเป็นแบบ Overhand grip ซึ่งมือขวาจะอยู่ห่างจากด้ามคันชักมากกว่าวิธีที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แต่การสีของคันชักนั้นที่ค่อนข้างถูกจำกัด พัฒนาการการใช้คันที่เป็นอิสระขึ้นนั้นค่อยๆ ดำเนินควบคู่ไปเช่นเดียวกับเทคนิคของนิ้วมือ โดยคันชักนั้นค่อยๆ พัฒนาให้มีความโค้งขึ้น ทำให้ผู้เล่นสามารถควบคุมการใช้คันชักได้ดีขึ้นในเรื่องพลังเสียงทั้งการทำให้เกิดเสียงที่กว้างขึ้นและการแสดงออกที่หลากหลายขึ้นเช่นเดียวกัน
ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 19 เทคนิคการเล่นเชลโลที่พัฒนาหลากหลายขึ้นและใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก่อนหน้างานเขียนทฤษฎีเชลโล Essai sur le doigte du violoncelle et sur la conduite de liarchet ในปี 1813 ของนักเชลโลชาวฝรั่งเศสJean-Louis Doport นั้น ยังไม่มีแบบเรียนเชลโลที่สำคัญที่ใช้ในโรงเรียนสอนดนตรีระดับนานาชาติเลย แต่ Jean-Louis Doport เป็นผู้ค้นคว้าและพัฒนาระบบการวางนิ้ว การใช้หัวแม่มือในโพสิชั่นสูงๆ ทำนิ้วสามารถทำให้สายเกิดการสั่นสะเทือนของในช่วงสั้นๆ เช่นเดียวกับไวโอลินและเทคนิคนี้ก็ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน ส่วนเทคนิคอื่นๆ ได้นำจากไวโอลินเช่นเดียวกันเช่น Multiple-stopping และฮาร์โมนิค ส่วนเชลโลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยใน 2 ส่วนสำคัญคือ ไม่มีที่ยึดบริเวณเข่าแต่มีเหล็กแหลมเป็นตัวยึดกับพื้นแทน และการลดองศาที่ตั้งฉากของตำแหน่งการวางเชลโลลง ทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นด้วยมือซ้ายได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น ส่วนคันชักในยุคศตวรรษที่ 18 นั้น เชลโลถูกพัฒนาให้มีความเว้าขึ้นและมีขนาดที่สั้นลงแต่หนาขึ้นกว่าคันชักของไวโอลินและวิโอลา
แม้ว่าเชลโลจะตั้งเสียงคู่ 5 เช่นเดียวกับไวโอลินและวิโอลา แต่เนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่กว่าทำให้ไม่สามารถใช้เทคนิคการเล่นด้วยนิ้วแบบเดียวกันได้ ในการเล่นโพสิชั่นแรกของเชลโลนั้น นิ้วชี้จะให้เสียงที่สูงกว่าสายเปล่า 1 เสียง แต่ถ้าเป็น 2 นิ้วจะให้เสียงที่สูงกว่าอีก 1 เสียง และในนิ้ว 4 จะให้เสียงที่สูงกว่าครึ่งเสียงหรือ 1 เสียง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนโพสิชั่นที่ต้องอาศัยเทคนิคของมือซ้ายที่ค่อนข้างโค้ง ซึ่งเชลโลรับเทคนิคนี้มาจากไวโอลินอีกที จนกระทั่งในทศวรรษที่ 1720 เทคนิคมือซ้ายที่ค่อนข้างตรงกว่าจึงได้รับการยอมรับมากขึ้น ผู้เล่นเชลโลเริ่มตระหนักว่าบทบาทของนิ้วโป้งมือซ้ายสามารถที่ทำหน้าที่ทาบสายคล้าย Capo dastro ของกีตาร์ได้ ในขณะเดียวกันความยาวของคอเชลโลก็พัฒนาจนมีขนาดมาตรฐานประมาณ 75 ซม.หรือ 30 นิ้ว ซึ่งเป็นผลงานที่ต้องยกความดีให้กับ Antonio Stradivari ช่างทำไวโอลินที่มีชื่อเสียงชาวอิตาลีแห่งเมืองเครโมนาในยุคเรอเนสซองส์
ส่วนเทคนิคของคันชักก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 18 ก่อนหน้านี้การจับคันชักถ้าไม่เป็นแบบ Underhand grip เช่นเดียวกับซอ Viol ก็จะเป็นแบบ Overhand grip ซึ่งมือขวาจะอยู่ห่างจากด้ามคันชักมากกว่าวิธีที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แต่การสีของคันชักนั้นที่ค่อนข้างถูกจำกัด พัฒนาการการใช้คันที่เป็นอิสระขึ้นนั้นค่อยๆ ดำเนินควบคู่ไปเช่นเดียวกับเทคนิคของนิ้วมือ โดยคันชักนั้นค่อยๆ พัฒนาให้มีความโค้งขึ้น ทำให้ผู้เล่นสามารถควบคุมการใช้คันชักได้ดีขึ้นในเรื่องพลังเสียงทั้งการทำให้เกิดเสียงที่กว้างขึ้นและการแสดงออกที่หลากหลายขึ้นเช่นเดียวกัน
ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 19 เทคนิคการเล่นเชลโลที่พัฒนาหลากหลายขึ้นและใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก่อนหน้างานเขียนทฤษฎีเชลโล Essai sur le doigte du violoncelle et sur la conduite de liarchet ในปี 1813 ของนักเชลโลชาวฝรั่งเศสJean-Louis Doport นั้น ยังไม่มีแบบเรียนเชลโลที่สำคัญที่ใช้ในโรงเรียนสอนดนตรีระดับนานาชาติเลย แต่ Jean-Louis Doport เป็นผู้ค้นคว้าและพัฒนาระบบการวางนิ้ว การใช้หัวแม่มือในโพสิชั่นสูงๆ ทำนิ้วสามารถทำให้สายเกิดการสั่นสะเทือนของในช่วงสั้นๆ เช่นเดียวกับไวโอลินและเทคนิคนี้ก็ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน ส่วนเทคนิคอื่นๆ ได้นำจากไวโอลินเช่นเดียวกันเช่น Multiple-stopping และฮาร์โมนิค ส่วนเชลโลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยใน 2 ส่วนสำคัญคือ ไม่มีที่ยึดบริเวณเข่าแต่มีเหล็กแหลมเป็นตัวยึดกับพื้นแทน และการลดองศาที่ตั้งฉากของตำแหน่งการวางเชลโลลง ทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นด้วยมือซ้ายได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น ส่วนคันชักในยุคศตวรรษที่ 18 นั้น เชลโลถูกพัฒนาให้มีความเว้าขึ้นและมีขนาดที่สั้นลงแต่หนาขึ้นกว่าคันชักของไวโอลินและวิโอลา
ยอดนักเชลโลในอดีต
Duport
ตระกูล Duport ก็เช่นเดียวกับนักเชลโลร่วมสมัยชาวอิตาเลียน Luigi Boccherini โดย Jean Luis Duport นั้น เป็นนักเชลโลทั้งในราชสำนักของสเปนและปรัสเซีย แม้ว่าเขาจะได้เขียนบทประพันธ์สำหรับเชลโลที่สำคัญและกลายเป็นนักเชลโลที่มีฝีมือโดดเด่น แต่ก็เป็นที่รู้จักน้อยกว่าน้องชายของเขา Jean-Piere ซึ่งเป็นนักเชลโลในราชสำนักปรัสเซียเช่นเดียวกัน ซึ่งแต่เดิมบีโธเฟนต้องการมอบโซนาต้า Op. ที่ 5 ให้ แต่ต่อมาได้อุทิศให้กับผู้อุปถัมภ์นักเชลโลทั้ง 2 แทนคือ Friedrich Wilhem ที่ 2
พี่น้องทั้งคู่ยังได้แต่งเพลงสำหรับเชลโลไว้เช่นเดียวกัน เมื่อโมสาร์ทได้เดินทางมาเยือนราชสำนักแห่งนี้ที่ Potsdam เมื่อปี 1789 และได้แต่งเพลงให้กับวงสตริงควอเต็ทประจำราชสำนักโดยให้เชลโลมีบทเด่น ส่วนในเปียโน Variation บทที่ K573 ก็ดัดแปลงจากมินูเอ็ทบทหนึ่งจากโซนาต้าของ Jean-Piere Duport
Bernhard Romberg
ถือเป็นนักเชลโลที่มีชื่อเสียงที่สุดของยุคถัดจากตระกูล Duport เขาได้เขียนตำรา Methode de violoncelli ในปี 1840 และประพันธ์บทเพลงเดี่ยวเชลโลไว้อีกหลายบทด้วยกัน
David Popper
นักเชลโลชาวเชคได้ประพันธ์ Elfentaz สำหรับเชลโล และเพลงสำหรับเชลโล 3 ตัวและออร์เคสตร้าใน Op. ที่ 66 ในปี 1892 เพลงนี้มีความพิเศษคือ เป็นบท Requeim ที่ปราศจากเสียงร้องเพลง
นักเชลโลที่สำคัญท่านอื่นๆ ของศตวรรษที่ 19 รวมถึง Alfredo Piatti นักเชลโลชาวอิตาเลียน และ Julius Klengel ชาวเยอรมัน ทั้ง 2 ได้แต่งเพลงบทเล็กๆ สำหรับเชลโลไว้หลายบท
Duport
ตระกูล Duport ก็เช่นเดียวกับนักเชลโลร่วมสมัยชาวอิตาเลียน Luigi Boccherini โดย Jean Luis Duport นั้น เป็นนักเชลโลทั้งในราชสำนักของสเปนและปรัสเซีย แม้ว่าเขาจะได้เขียนบทประพันธ์สำหรับเชลโลที่สำคัญและกลายเป็นนักเชลโลที่มีฝีมือโดดเด่น แต่ก็เป็นที่รู้จักน้อยกว่าน้องชายของเขา Jean-Piere ซึ่งเป็นนักเชลโลในราชสำนักปรัสเซียเช่นเดียวกัน ซึ่งแต่เดิมบีโธเฟนต้องการมอบโซนาต้า Op. ที่ 5 ให้ แต่ต่อมาได้อุทิศให้กับผู้อุปถัมภ์นักเชลโลทั้ง 2 แทนคือ Friedrich Wilhem ที่ 2
พี่น้องทั้งคู่ยังได้แต่งเพลงสำหรับเชลโลไว้เช่นเดียวกัน เมื่อโมสาร์ทได้เดินทางมาเยือนราชสำนักแห่งนี้ที่ Potsdam เมื่อปี 1789 และได้แต่งเพลงให้กับวงสตริงควอเต็ทประจำราชสำนักโดยให้เชลโลมีบทเด่น ส่วนในเปียโน Variation บทที่ K573 ก็ดัดแปลงจากมินูเอ็ทบทหนึ่งจากโซนาต้าของ Jean-Piere Duport
Bernhard Romberg
ถือเป็นนักเชลโลที่มีชื่อเสียงที่สุดของยุคถัดจากตระกูล Duport เขาได้เขียนตำรา Methode de violoncelli ในปี 1840 และประพันธ์บทเพลงเดี่ยวเชลโลไว้อีกหลายบทด้วยกัน
David Popper
นักเชลโลชาวเชคได้ประพันธ์ Elfentaz สำหรับเชลโล และเพลงสำหรับเชลโล 3 ตัวและออร์เคสตร้าใน Op. ที่ 66 ในปี 1892 เพลงนี้มีความพิเศษคือ เป็นบท Requeim ที่ปราศจากเสียงร้องเพลง
นักเชลโลที่สำคัญท่านอื่นๆ ของศตวรรษที่ 19 รวมถึง Alfredo Piatti นักเชลโลชาวอิตาเลียน และ Julius Klengel ชาวเยอรมัน ทั้ง 2 ได้แต่งเพลงบทเล็กๆ สำหรับเชลโลไว้หลายบท

บทบาทของเชลโลในดนตรีคลาสสิค
ผลลัพธ์ที่สำคัญประการหนึ่งจากวิวัฒนาการของเชลโลคือ ความนิยมในที่เพิ่มมากขึ้นฐานะเครื่องดนตรีสำหรับบรรเลงเดี่ยว แม้ว่าบทบาทของมันในยุคบาโร้คจะมีไม่น้อยก็ตาม ซึ่งคุณค่าของมันมีมากว่าการเป็นเพียงเครื่องดนตรีในกลุ่มเครื่องดนตรีที่ทำหน้าที่บรรเลงแนวเสียงเบส บทบาทที่เพิ่มขึ้นนับจากการเป็นเครื่องดนตรีเบสหลักในวงนับตั้งแต่ช่วงต้นของศตวรรษที่ 17 และในช่วงกลางของศตวรรษที่ 18 ทำให้ความสำคัญของซอวิโอลก็ค่อยๆ ลดลง แม้แต่ในฝรั่งเศสที่ซอวิโอลเป็นเครื่องดนตรีที่เป็นคู่แข่งกับเชลโลมานาน แต่ความสำคัญของเชลโลในวงแชมเบอร์ที่เพิ่มขึ้นนั้น มีผลกระทบไม่มากนักต่อเปียโนที่มีอิทธิพลอย่างสูงมานาน ในขณะที่เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดเปลี่ยนบทบาทจากพระรองกลายเป็นเครื่องดนตรีหลักในวง แต่เชลโลยังคงมีบทบาทเช่นเดิม เปียโนทริโอของโมสาร์ทอาจจะเป็นบทเพลงที่ทำให้เชลโลก้าวขึ้นมาเป็นที่สนใจของผู้ฟังมากขึ้นพอสมควร แต่ไฮเดินก็ดึงเชลโลกลับไปทำหน้าที่บรรเลงแนวเบสให้กับเปียโนอีก นอกจากในบทเพลงที่ไม่มีเปียโน เช่น ในผลงานสตริงควอเต็ทเชลโลจึงมีโอกาสออกมายืนอยู่แถวหน้าบ้าง
ในวงออร์เคสตร้าก็เช่นกัน เชลโลทำหน้าที่บรรเลงในแนวเสียงเบสในกลุ่มเครื่องสาย นอกจากนั้นคีตกวีในยุคคลาสสิคน้อยรายนักที่จะจัดให้กลุ่มของเชลโลมีโอกาสได้บรรเลงในแนวเดี่ยว ส่วนการบรรเลงแนวเดี่ยวของหัวหน้ากลุ่มเชลโลนั้นพบบ้างในซิมโฟนีบางบทของไฮเดินเช่น หมายเลข 13 ในปี 1763 และหมายเลข 95 ในปี 1791 หรือในเพลง Batti ของ Zerlina และBatti aria จากอุปรากร Don Giovanni ของโมสาร์ท ในเปียโนคอนแชร์โตบทที่ 4 ของบีโธเฟนซึ่งประพันธ์ขึ้นในปี 1806-1807 ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เชลโลทำหน้าที่คล้ายเบสในวงออร์เคสตร้า
เชลโลได้ถูกพัฒนาขึ้นให้มีลักษณะพิเศษ 2 ประการคือ ทำหน้าที่เดิมเพื่อเป็นส่วนเสริมให้กับบทเพลงโดยบรรเลงในแนวเบสในวงออร์เคสตร้าหรือแชมเบอร์มิวสิค แต่ก็ได้ขยายขอบเขตมาบรรเลงในทำนองหลักบ้าง คีตกวีในยุคโรแมนติคก็ไม่รีรอที่จะค้นหาความสามารถที่แท้จริงของมัน ตัวอย่างของผลงานที่แสดงทั้ง 2 บทบาทของเชลโลคืองานสตริงควินเต็ทบทหลังๆ ของ Schubert ที่ใช้เชลโล 2 ตัว โดยตัวที่ 2 บรรเลงแนวเบสของวง โดยปล่อยให้เชลโลตัวที่ 1 แสดงลีลาได้อย่างเต็มที่ ส่วนเซกเต็ททั้ง 2 บทของบราห์มสนั้น โชว์ความสนุกสนานร่าเริงของเชลโลทั้ง 2 ตัวเช่นเดียวกัน
ส่วนงานประพันธ์ที่มีชื่อเสียง ในศตวรรษ19 นั้น เช่น ในช่วงต้นของโหมโรง William Tell Overture ของ Rossini ประกอบด้วยภาคโซโล่ชองเชลโลถึง 5 บท รวมถึง Overture ในบท Ruslan and Lyudmila ของ Glinka ในซิมโฟนีหมายเลข 3 ของบราหม์สกระบวนที่ 3 และบทเพลงสวดใน Requiem ของ Verdi ถึงเชลโลจะบทบาทมากขึ้นแต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้นที่บรรดาคีตกวีได้ให้โอกาสนักเชลโลมีโอกาสได้แสดงออก ในบางส่วนของบทเพลงเช่น Petrushka ของ Stravinski หรือท่อนช้าในซิมโฟนีบทแรกของ Elgar
ผลลัพธ์ที่สำคัญประการหนึ่งจากวิวัฒนาการของเชลโลคือ ความนิยมในที่เพิ่มมากขึ้นฐานะเครื่องดนตรีสำหรับบรรเลงเดี่ยว แม้ว่าบทบาทของมันในยุคบาโร้คจะมีไม่น้อยก็ตาม ซึ่งคุณค่าของมันมีมากว่าการเป็นเพียงเครื่องดนตรีในกลุ่มเครื่องดนตรีที่ทำหน้าที่บรรเลงแนวเสียงเบส บทบาทที่เพิ่มขึ้นนับจากการเป็นเครื่องดนตรีเบสหลักในวงนับตั้งแต่ช่วงต้นของศตวรรษที่ 17 และในช่วงกลางของศตวรรษที่ 18 ทำให้ความสำคัญของซอวิโอลก็ค่อยๆ ลดลง แม้แต่ในฝรั่งเศสที่ซอวิโอลเป็นเครื่องดนตรีที่เป็นคู่แข่งกับเชลโลมานาน แต่ความสำคัญของเชลโลในวงแชมเบอร์ที่เพิ่มขึ้นนั้น มีผลกระทบไม่มากนักต่อเปียโนที่มีอิทธิพลอย่างสูงมานาน ในขณะที่เครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ดเปลี่ยนบทบาทจากพระรองกลายเป็นเครื่องดนตรีหลักในวง แต่เชลโลยังคงมีบทบาทเช่นเดิม เปียโนทริโอของโมสาร์ทอาจจะเป็นบทเพลงที่ทำให้เชลโลก้าวขึ้นมาเป็นที่สนใจของผู้ฟังมากขึ้นพอสมควร แต่ไฮเดินก็ดึงเชลโลกลับไปทำหน้าที่บรรเลงแนวเบสให้กับเปียโนอีก นอกจากในบทเพลงที่ไม่มีเปียโน เช่น ในผลงานสตริงควอเต็ทเชลโลจึงมีโอกาสออกมายืนอยู่แถวหน้าบ้าง
ในวงออร์เคสตร้าก็เช่นกัน เชลโลทำหน้าที่บรรเลงในแนวเสียงเบสในกลุ่มเครื่องสาย นอกจากนั้นคีตกวีในยุคคลาสสิคน้อยรายนักที่จะจัดให้กลุ่มของเชลโลมีโอกาสได้บรรเลงในแนวเดี่ยว ส่วนการบรรเลงแนวเดี่ยวของหัวหน้ากลุ่มเชลโลนั้นพบบ้างในซิมโฟนีบางบทของไฮเดินเช่น หมายเลข 13 ในปี 1763 และหมายเลข 95 ในปี 1791 หรือในเพลง Batti ของ Zerlina และBatti aria จากอุปรากร Don Giovanni ของโมสาร์ท ในเปียโนคอนแชร์โตบทที่ 4 ของบีโธเฟนซึ่งประพันธ์ขึ้นในปี 1806-1807 ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เชลโลทำหน้าที่คล้ายเบสในวงออร์เคสตร้า
เชลโลได้ถูกพัฒนาขึ้นให้มีลักษณะพิเศษ 2 ประการคือ ทำหน้าที่เดิมเพื่อเป็นส่วนเสริมให้กับบทเพลงโดยบรรเลงในแนวเบสในวงออร์เคสตร้าหรือแชมเบอร์มิวสิค แต่ก็ได้ขยายขอบเขตมาบรรเลงในทำนองหลักบ้าง คีตกวีในยุคโรแมนติคก็ไม่รีรอที่จะค้นหาความสามารถที่แท้จริงของมัน ตัวอย่างของผลงานที่แสดงทั้ง 2 บทบาทของเชลโลคืองานสตริงควินเต็ทบทหลังๆ ของ Schubert ที่ใช้เชลโล 2 ตัว โดยตัวที่ 2 บรรเลงแนวเบสของวง โดยปล่อยให้เชลโลตัวที่ 1 แสดงลีลาได้อย่างเต็มที่ ส่วนเซกเต็ททั้ง 2 บทของบราห์มสนั้น โชว์ความสนุกสนานร่าเริงของเชลโลทั้ง 2 ตัวเช่นเดียวกัน
ส่วนงานประพันธ์ที่มีชื่อเสียง ในศตวรรษ19 นั้น เช่น ในช่วงต้นของโหมโรง William Tell Overture ของ Rossini ประกอบด้วยภาคโซโล่ชองเชลโลถึง 5 บท รวมถึง Overture ในบท Ruslan and Lyudmila ของ Glinka ในซิมโฟนีหมายเลข 3 ของบราหม์สกระบวนที่ 3 และบทเพลงสวดใน Requiem ของ Verdi ถึงเชลโลจะบทบาทมากขึ้นแต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้นที่บรรดาคีตกวีได้ให้โอกาสนักเชลโลมีโอกาสได้แสดงออก ในบางส่วนของบทเพลงเช่น Petrushka ของ Stravinski หรือท่อนช้าในซิมโฟนีบทแรกของ Elgar
บทประพันธ์เชลโล คอนแชร์โต ในยุคต่างๆ
ยุค Baroque
ในยุคบาโร้ค นอกจาก Concerto grosso ซึ่งเชลโลทำหน้าที่บรรเลงแนวเสียงเบสในกลุ่มเครื่องดนตรีประกอบ เพราะว่านักประพันธ์ในยุคนั้นยังไม่ได้คิดถึงเชลโลในฐานะของเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว คอนแชร์โตบทแรกสำหรับเชลโลนั้นประพันธ์โดย Giusepe Jaccini ในปี 1701 ส่วน Antonio Vivaldi ได้ประพันธ์คอนแชร์โตบทสั้นๆ สำหรับเชลโล 1 หรือ 2 ตัว ไว้จำนวนหนึ่งเช่นเดียวกับโซนาต้าและกลุ่มเครื่องดนตรีอื่นจำนวน 6 บท และนักประพันธ์เพื่อนร่วมชาติของทั้ง 2 ท่าน Leonardo Leoได้ตีพิมพ์บทประพันธ์คอนแชร์โตจำนวน 6 บทในช่วงทศวรรษปี 1730
ยุค Classical
ในยุคคลาสสิคนี้เอง ที่เชลโลเป็นอิสระมากขึ้นจากการเป็นเพียงเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบ โดยมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นในงานดนตรีแชมเบอร์มิวสิคควบคู่ไปกับบทประพันธ์คอนแชร์โตที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ในบรรดาคอนแชร์โตยุคแรกๆ ที่โดดเด่นนั้นเป็นผลงานประพันธ์ของ Luigi Boccherini เช่น คอนแชร์โตในบันไดเสียงบีแฟลทเมเจอร์ ในปี 1770 แต่มาประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมโดยนักเชลโล Leopold Grutzmacher โดยเพิ่มไลน์ของเชลโลและเรียบเรียงในท่อนช้าขึ้นใหม่
Haydn
คีตกวีร่วมสมัยเดียวกับ Boccherini ได้ประพันธ์คอนแช์โตชั้นเยี่ยมไว้ 2 บท โดยบทแรกนั้นอยู่ในบันไดเสียงดีเมเจอร์ แต่เดิมเชื่อกันว่าแต่งให้กับลูกศิษย์ Anton Kraft จนกระทั่งมีการค้นพบต้นฉบับของจริง ส่วนในบทที่ 2 ในบันไดเสียงซีเมเจอร์นั้นมีเพียงชื่ออยู่ในลำดับผลงานเท่านั้น จนกระทั่งมีการค้นพบต้นฉบับที่กรุงปรากประเทศเชคโกสโลวาเกียเมื่อปี 1961 ส่วนคอนแชร์โตอีก 3 บทนั้นยังคงสูญหายตราบจนทุกวันนี้
Beethoven
ได้ประพันธ์โซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนไว้ 5 บท โดยเฉพาะใน Op. ที่ 56 หรือที่เรียกว่า Triple Concerto โดยเครื่องดนตรีที่บรรเลงเดี่ยวประกอบด้วยเปียโน ไวโอลิน และเชลโล ถือเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในยุคกลางของท่าน ผลงานชิ้นนี้ประพันธ์เสร็จในปี 1804 ต่อมาได้ทำให้เชลโลมีบทบาทโดดเด่นเหนือเครื่องดนตรีอื่นๆ ในฐานะเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว
ยุค Romantic
Schumann
ผลงานคอนแชร์โตของยุคโรแมนติคในช่วงแรกๆ นั้น ได้แก่คอนแชร์โตของ Schumann ใน Op. ที่ 129 ในปี 1850 เช่นเดียวกับไวโอลินคอนแชร์โตในช่วงเดียวกันนั้นของ Mendelssohn ที่วงออร์เคสตร้าบรรเลงพร้อมกันในช่วงเริ่มต้นของบทเพลงเช่นเดียวกับในยุคคลาสสิค และบรรเลงต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดในแต่ละกระบวน ท่านใช้การประพันธ์ในแต่ละท่อนที่เป็นอิสระ แม้แต่ในช่วงเริ่มต้นกระบวนสุดท้ายของทั้ง 3 ท่อน ซึ่งมีโครงสร้างหลักเช่นเดียวกับ 2 กระบวนที่ผ่านมาเช่นเดียวกับในบทสุดท้ายของซิมโฟนีหมายเลข 9 ของบีโธเฟน
Saint-Saens
ประพันธ์คอนแชร์โตไว้ 2 บท โดยบทที่ 2 นั้น (Op. ที่ 119 ในบันไดเสียงดี ไมเนอร์ ในปี 1902) ไม่เป็นที่รู้จักมากนักแม้ในปัจจุบัน แต่ในบทที่ 1 ใน Op. 33 เป็นที่นิยมมากในหมู่นักเชลโลเช่นเดียวกับคอนแชร์โตของเพื่อนนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสชาติเดียวกับท่าน Edouard Lalo
Brahms
งานแชมเบอร์ มิวสิคของท่านมีลักษณะเด่นคือเสียงที่ทุ้มต่ำของสายเบสที่นิยมใช้เสมอๆ ท่านอาจจะประพันธ์เชลโลคอนแชร์โตที่สง่างาม แต่ผลงานที่ยอดเยี่ยมคือดับเบิ้ลคอนแชร์โตสำหรับไวโอลินกับเชลโลและออ์เคสตร้า Op. 102 ที่เขียนให้กับJoseph Joachim และ Robert Hausmann ที่ต้องการให้เชลโลได้โดดเด่นเช่นเดียวกับทริปเปิ้ลคอนแชร์โตของบีโธเฟน นอกจากนั้นท่านยังได้เปิดโอกาสให้เชลโลได้บรรเลงเดี่ยวอย่างยาวนานในกระบวนช้าในเปียโนคอนแชร์โตบทที่ 2 ของท่าน
Dvorak
ได้ประพันธ์คอนแชร์โตที่ยอดเยี่ยมที่สุดของศตวรรษที่ 19 ซึ่ง Brahms สามารถยืนยันได้ดี เขากล่าวว่ามันเป็นไปได้ที่จะประพันธ์ผลงานที่ดีเยี่ยมเช่นนั้นได้ และเขาคงจะต้องทำเช่นนั้นบ้างแน่ๆ คอนแชร์โตในบันไดเสียงบีไมเนอร์ Op. ที่ 104 นั้นถือเป็นบทที่ 2 โดยบทแรกอยู่ในบันไดเสียง เอ เมเจอร์ ประพันธ์ขึ้นในปี 1865 แต่เหลืออยู่แค่เพียงโน้ตเปียโนต้นฉบับเท่านั้น ท่านเริ่มแต่งคอนแชร์โตบทที่ 2 ในปี 1894 ในขณะที่พำนักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และเสร็จสมบูรณ์ในปีถัดมาที่กรุงปราก ท่านต้องการมอบคอนแชร์โตบทนี้ให้กับนักเชลโลชาวเชค Hanus Wilhan แต่นำออกแสดงครั้งแรกโดย Leo Stern ที่กรุงลอนดอนในปี 1896
ยุค Baroque
ในยุคบาโร้ค นอกจาก Concerto grosso ซึ่งเชลโลทำหน้าที่บรรเลงแนวเสียงเบสในกลุ่มเครื่องดนตรีประกอบ เพราะว่านักประพันธ์ในยุคนั้นยังไม่ได้คิดถึงเชลโลในฐานะของเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว คอนแชร์โตบทแรกสำหรับเชลโลนั้นประพันธ์โดย Giusepe Jaccini ในปี 1701 ส่วน Antonio Vivaldi ได้ประพันธ์คอนแชร์โตบทสั้นๆ สำหรับเชลโล 1 หรือ 2 ตัว ไว้จำนวนหนึ่งเช่นเดียวกับโซนาต้าและกลุ่มเครื่องดนตรีอื่นจำนวน 6 บท และนักประพันธ์เพื่อนร่วมชาติของทั้ง 2 ท่าน Leonardo Leoได้ตีพิมพ์บทประพันธ์คอนแชร์โตจำนวน 6 บทในช่วงทศวรรษปี 1730
ยุค Classical
ในยุคคลาสสิคนี้เอง ที่เชลโลเป็นอิสระมากขึ้นจากการเป็นเพียงเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบ โดยมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นในงานดนตรีแชมเบอร์มิวสิคควบคู่ไปกับบทประพันธ์คอนแชร์โตที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ในบรรดาคอนแชร์โตยุคแรกๆ ที่โดดเด่นนั้นเป็นผลงานประพันธ์ของ Luigi Boccherini เช่น คอนแชร์โตในบันไดเสียงบีแฟลทเมเจอร์ ในปี 1770 แต่มาประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมโดยนักเชลโล Leopold Grutzmacher โดยเพิ่มไลน์ของเชลโลและเรียบเรียงในท่อนช้าขึ้นใหม่
Haydn
คีตกวีร่วมสมัยเดียวกับ Boccherini ได้ประพันธ์คอนแช์โตชั้นเยี่ยมไว้ 2 บท โดยบทแรกนั้นอยู่ในบันไดเสียงดีเมเจอร์ แต่เดิมเชื่อกันว่าแต่งให้กับลูกศิษย์ Anton Kraft จนกระทั่งมีการค้นพบต้นฉบับของจริง ส่วนในบทที่ 2 ในบันไดเสียงซีเมเจอร์นั้นมีเพียงชื่ออยู่ในลำดับผลงานเท่านั้น จนกระทั่งมีการค้นพบต้นฉบับที่กรุงปรากประเทศเชคโกสโลวาเกียเมื่อปี 1961 ส่วนคอนแชร์โตอีก 3 บทนั้นยังคงสูญหายตราบจนทุกวันนี้
Beethoven
ได้ประพันธ์โซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนไว้ 5 บท โดยเฉพาะใน Op. ที่ 56 หรือที่เรียกว่า Triple Concerto โดยเครื่องดนตรีที่บรรเลงเดี่ยวประกอบด้วยเปียโน ไวโอลิน และเชลโล ถือเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในยุคกลางของท่าน ผลงานชิ้นนี้ประพันธ์เสร็จในปี 1804 ต่อมาได้ทำให้เชลโลมีบทบาทโดดเด่นเหนือเครื่องดนตรีอื่นๆ ในฐานะเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว
ยุค Romantic
Schumann
ผลงานคอนแชร์โตของยุคโรแมนติคในช่วงแรกๆ นั้น ได้แก่คอนแชร์โตของ Schumann ใน Op. ที่ 129 ในปี 1850 เช่นเดียวกับไวโอลินคอนแชร์โตในช่วงเดียวกันนั้นของ Mendelssohn ที่วงออร์เคสตร้าบรรเลงพร้อมกันในช่วงเริ่มต้นของบทเพลงเช่นเดียวกับในยุคคลาสสิค และบรรเลงต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดในแต่ละกระบวน ท่านใช้การประพันธ์ในแต่ละท่อนที่เป็นอิสระ แม้แต่ในช่วงเริ่มต้นกระบวนสุดท้ายของทั้ง 3 ท่อน ซึ่งมีโครงสร้างหลักเช่นเดียวกับ 2 กระบวนที่ผ่านมาเช่นเดียวกับในบทสุดท้ายของซิมโฟนีหมายเลข 9 ของบีโธเฟน
Saint-Saens
ประพันธ์คอนแชร์โตไว้ 2 บท โดยบทที่ 2 นั้น (Op. ที่ 119 ในบันไดเสียงดี ไมเนอร์ ในปี 1902) ไม่เป็นที่รู้จักมากนักแม้ในปัจจุบัน แต่ในบทที่ 1 ใน Op. 33 เป็นที่นิยมมากในหมู่นักเชลโลเช่นเดียวกับคอนแชร์โตของเพื่อนนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสชาติเดียวกับท่าน Edouard Lalo
Brahms
งานแชมเบอร์ มิวสิคของท่านมีลักษณะเด่นคือเสียงที่ทุ้มต่ำของสายเบสที่นิยมใช้เสมอๆ ท่านอาจจะประพันธ์เชลโลคอนแชร์โตที่สง่างาม แต่ผลงานที่ยอดเยี่ยมคือดับเบิ้ลคอนแชร์โตสำหรับไวโอลินกับเชลโลและออ์เคสตร้า Op. 102 ที่เขียนให้กับJoseph Joachim และ Robert Hausmann ที่ต้องการให้เชลโลได้โดดเด่นเช่นเดียวกับทริปเปิ้ลคอนแชร์โตของบีโธเฟน นอกจากนั้นท่านยังได้เปิดโอกาสให้เชลโลได้บรรเลงเดี่ยวอย่างยาวนานในกระบวนช้าในเปียโนคอนแชร์โตบทที่ 2 ของท่าน
Dvorak
ได้ประพันธ์คอนแชร์โตที่ยอดเยี่ยมที่สุดของศตวรรษที่ 19 ซึ่ง Brahms สามารถยืนยันได้ดี เขากล่าวว่ามันเป็นไปได้ที่จะประพันธ์ผลงานที่ดีเยี่ยมเช่นนั้นได้ และเขาคงจะต้องทำเช่นนั้นบ้างแน่ๆ คอนแชร์โตในบันไดเสียงบีไมเนอร์ Op. ที่ 104 นั้นถือเป็นบทที่ 2 โดยบทแรกอยู่ในบันไดเสียง เอ เมเจอร์ ประพันธ์ขึ้นในปี 1865 แต่เหลืออยู่แค่เพียงโน้ตเปียโนต้นฉบับเท่านั้น ท่านเริ่มแต่งคอนแชร์โตบทที่ 2 ในปี 1894 ในขณะที่พำนักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และเสร็จสมบูรณ์ในปีถัดมาที่กรุงปราก ท่านต้องการมอบคอนแชร์โตบทนี้ให้กับนักเชลโลชาวเชค Hanus Wilhan แต่นำออกแสดงครั้งแรกโดย Leo Stern ที่กรุงลอนดอนในปี 1896

แชมเบอร์มิวสิค: จากบาโร้คถึงโรแมนติค
Bach Suite สำหรับเดี่ยวเชลโลจำนวน 6 บทของบาคถือเป็นผลงานที่สำคัญที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่งานเดี่ยวเชลโลที่ไม่มีดนตรีอื่นๆ ประกอบเท่านั้น แต่เป็นผลงานชิ้นสำคัญชิ้นแรกที่ประพันธ์โดยนักดนตรีที่ไม่ใช่นักเชลโล ด้วยท่วงทำนองที่สง่างามและแสดงถึงความสามารถของบาคในการเรียงร้อยท่วงทำนองที่ผสมผสานอย่างกลมกลืน ผลงานชิ้นนี้ประพันธ์ขึ้นในช่วงปี 1720 ในช่วงที่ท่านเป็น Kapellmeister ที่ Cohen ซึ่งบาคอาจจะตั้งใจมอบให้กับนักเชลโลประจำราชสำนัก Christian Linke โดยในบทที่ 5 นั้นแต่งขึ้นในฟอร์มของ Scordatura
ผลงานโซนาต้าประกอบเครื่องดนตรีอื่นๆ เป็นที่นิยมประพันธ์จนถึงปลายยุคบาโร้คและมีเป็นจำนวนมาก ผลงานที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันนั้นเป็นผลงานที่เขียนโดย Boccherini
Beethoven
ได้ประพันธ์ดูโอโซนาต้าของยุคคลาสสิค ทำให้เชลโลได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโซนาต้าหลายบทใน Op. ที่ 5 ที่ท่านประพันธ์ขึ้นในปี 1796 นั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นเลยทีเดียว โดยได้รับการว่าจ้างจาก Friedrich Willhem ที่ 2 แห่งปรัสเซีย นอกจากนี้เขายังได้ประพันธ์โซนาต้าอีก 3 บท หนึ่งในนั้นอยู่ใน Op. ที่ 69 ในบันไดเสียงเอ เมเจอร์ ในปี 1808 และโซนาต้าอีก 2 บทใน Op. ที่ 102 ในบันไดเสียงซี เมเจอร์และดี เมเจอร์ ในปี 1815 และเป็นจุดเริ่มต้นผลงานในช่วงท้ายๆ ของท่าน
Mendelsohn
ผลงานโซนาต้าทั้ง 2 บทนั้นมักจะถูกมองข้ามไป โดยบทแรก Op. ที่ 45 ประพันธ์ขึ้นในปี 1838 มีความคล้ายคลึงกับVariations concertantes ในปี 1829 ผลงานในช่วงแรกๆ ของ Paul พี่ชายของท่าน ส่วนบทที่ 2 ใน Op. ที่ 58 ที่ประพันธ์ขึ้นในปี 1843 นั้น ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมากจาก Schumann มีความไพเราะสง่างาม ท่านต้องการที่จะมอบให้กับท่านเคาท์Mateusz Wielhorski แห่งโปแลนด์ ลูกศิษย์ของ Romberg
Schumann
ได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับเชลโลและเปียโนในสไตล์เพลงพื้นเมืองจำนวน 5 เพลงขึ้นมาชุดหนึ่ง และมีการใช้เสียงของเชลโลในเพลง Adagio and allegro Op. ที่ 70 และ Fantasiestucke Op. ที่ 73 ที่ประพันธ์ขึ้นสำหรับฮอร์นและคลาริเนตตามลำดับ ซึ่งผลงานทั้ง 2 บทประพันธ์ขึ้นในปี 1849
Chopin และ Rachmaninov
ทั้ง 2 ท่านเป็นทั้งดนตรีและนักประพันธ์ซึ่งไม่ได้เน้นผลงานแชมเบอร์ มิวสิคมากนัก มีเพียงโซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนท่านละเพียง 1 บทเท่านั้น
Brahms
ผลงานของท่านที่เป็นที่รู้จักกันดีคือโซนาต้าจำนวน 2 บท Op. ที่ 38 ในบันไดเสียงอี ไมเนอร์ ในปี 1865 และ Op. ที่ 99 ในบันไดเสียงเอฟ เมเจอร์ ในปี 1886 นอกจากนี้ยังมีโซนาต้า Op. ที่ 6 ในบันไดเสียงเอฟ เมเจอร์ ผลงานของ Richard Straussและโซนาต้า 2 บทของ Faure ในปี 1917 และ 1921
Bach Suite สำหรับเดี่ยวเชลโลจำนวน 6 บทของบาคถือเป็นผลงานที่สำคัญที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่งานเดี่ยวเชลโลที่ไม่มีดนตรีอื่นๆ ประกอบเท่านั้น แต่เป็นผลงานชิ้นสำคัญชิ้นแรกที่ประพันธ์โดยนักดนตรีที่ไม่ใช่นักเชลโล ด้วยท่วงทำนองที่สง่างามและแสดงถึงความสามารถของบาคในการเรียงร้อยท่วงทำนองที่ผสมผสานอย่างกลมกลืน ผลงานชิ้นนี้ประพันธ์ขึ้นในช่วงปี 1720 ในช่วงที่ท่านเป็น Kapellmeister ที่ Cohen ซึ่งบาคอาจจะตั้งใจมอบให้กับนักเชลโลประจำราชสำนัก Christian Linke โดยในบทที่ 5 นั้นแต่งขึ้นในฟอร์มของ Scordatura
ผลงานโซนาต้าประกอบเครื่องดนตรีอื่นๆ เป็นที่นิยมประพันธ์จนถึงปลายยุคบาโร้คและมีเป็นจำนวนมาก ผลงานที่หลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันนั้นเป็นผลงานที่เขียนโดย Boccherini
Beethoven
ได้ประพันธ์ดูโอโซนาต้าของยุคคลาสสิค ทำให้เชลโลได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโซนาต้าหลายบทใน Op. ที่ 5 ที่ท่านประพันธ์ขึ้นในปี 1796 นั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นเลยทีเดียว โดยได้รับการว่าจ้างจาก Friedrich Willhem ที่ 2 แห่งปรัสเซีย นอกจากนี้เขายังได้ประพันธ์โซนาต้าอีก 3 บท หนึ่งในนั้นอยู่ใน Op. ที่ 69 ในบันไดเสียงเอ เมเจอร์ ในปี 1808 และโซนาต้าอีก 2 บทใน Op. ที่ 102 ในบันไดเสียงซี เมเจอร์และดี เมเจอร์ ในปี 1815 และเป็นจุดเริ่มต้นผลงานในช่วงท้ายๆ ของท่าน
Mendelsohn
ผลงานโซนาต้าทั้ง 2 บทนั้นมักจะถูกมองข้ามไป โดยบทแรก Op. ที่ 45 ประพันธ์ขึ้นในปี 1838 มีความคล้ายคลึงกับVariations concertantes ในปี 1829 ผลงานในช่วงแรกๆ ของ Paul พี่ชายของท่าน ส่วนบทที่ 2 ใน Op. ที่ 58 ที่ประพันธ์ขึ้นในปี 1843 นั้น ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมากจาก Schumann มีความไพเราะสง่างาม ท่านต้องการที่จะมอบให้กับท่านเคาท์Mateusz Wielhorski แห่งโปแลนด์ ลูกศิษย์ของ Romberg
Schumann
ได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับเชลโลและเปียโนในสไตล์เพลงพื้นเมืองจำนวน 5 เพลงขึ้นมาชุดหนึ่ง และมีการใช้เสียงของเชลโลในเพลง Adagio and allegro Op. ที่ 70 และ Fantasiestucke Op. ที่ 73 ที่ประพันธ์ขึ้นสำหรับฮอร์นและคลาริเนตตามลำดับ ซึ่งผลงานทั้ง 2 บทประพันธ์ขึ้นในปี 1849
Chopin และ Rachmaninov
ทั้ง 2 ท่านเป็นทั้งดนตรีและนักประพันธ์ซึ่งไม่ได้เน้นผลงานแชมเบอร์ มิวสิคมากนัก มีเพียงโซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนท่านละเพียง 1 บทเท่านั้น
Brahms
ผลงานของท่านที่เป็นที่รู้จักกันดีคือโซนาต้าจำนวน 2 บท Op. ที่ 38 ในบันไดเสียงอี ไมเนอร์ ในปี 1865 และ Op. ที่ 99 ในบันไดเสียงเอฟ เมเจอร์ ในปี 1886 นอกจากนี้ยังมีโซนาต้า Op. ที่ 6 ในบันไดเสียงเอฟ เมเจอร์ ผลงานของ Richard Straussและโซนาต้า 2 บทของ Faure ในปี 1917 และ 1921
สำหรับดนตรีแชมเบอร์มิวสิคในยุคปัจจุบันนั้น นักประพันธ์หลายคนได้หันมาให้ความสำคัญกับดนตรีแชมเบอร์มิวสิคสำหรับเชลโลมากขึ้น ในศตวรรษที่ 19 Zoltan Kodaly คีตกวีชาวฮังกาเรียนได้ประพันธ์เพลงเชลโลโซนาต้าที่ไม่มีดนตรีประกอบ ในปี 1915 และโซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนในปี 1909-1910 ดูโอสำหรับไวโอลินและเชลโลในปี 1914 และโซนาต้าของRavel ในปี 1920-1922 ส่วน Martinu คีตกวีชาวเชคได้ประพันธ์โซนาต้าไว้ 3 บท และ Variation สำหรับเชลโลและเปียโนไว้ 2 ชุด Shostakovich และ Prokofiev ได้แต่งโซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนไว้ท่านละ 1 บท และยังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมอีก 1 บทจากนักดนตรีเพื่อนร่วมชาติของทั้ง 2 ท่านคือ Schnittke และ Benjamin Britten ได้แต่งโซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนไว้ 1 บทและงานโซโล Suite จำนวน 3 บท ผลงานของ Mstislav Rostropovich
งานเดี่ยวเชลโลที่ไม่มีดนตรีประกอบได้แสดงถึงความหลากหลายและความสามารถในการแสดงออกของเชลโล ทำให้เชลโลได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วงหลังสงคราม นอกจากนั้น Suite ของ Britten สามารถอ้างอิง Serenade ของ Henze ได้
ผลงานโซนาต้าของนักประพันธ์ชาวอเมริกัน George Crumb และ Trois strophes sur le nom de Sacher ของ Henri Dutilleux หนึ่งในผลงานหลายๆ ชิ้นที่ได้รับมอบหมายให้ประพันธ์ให้กับวาทยากร Paul Sacher เพื่อบรรเลงเนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดปีที่ 70 ของท่านในปี 1976 และตั้งชื่อตามชื่อของท่านนั่นเอง
งานเทศกาลที่จัดขึ้นทุกๆ 2 ปี The Biennal Cello Festival ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงผลงานประพันธ์ใหม่ๆ และเป็นงานที่ดึงดูดนักเชลโลชั้นนำจากทั่วโลกมารวมกัน เทคนิควิธีการเล่นเชลโลที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 นั้นเทคนิคที่ยอดเยี่ยมต่างๆ อาจจะได้พัฒนามาจนถึงจุดสูงสุดแล้วก็เป็นได้เช่นเดียวกับไวโอลิน ในยุคปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่าความสนใจจะหันไปเน้นที่การตีความของบทเพลงแทน มีนักเชลโลที่มีฝีมือชั้นนำจำนวนมากมายในศตวรรษที่ 20 และยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญของเชลโลและได้กลายเป็นเครื่องดนตรีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในบรรดาเครื่องดนตรีด้วยกัน
ในศตวรรษที่ 20 ดูเหมือนว่าจะมีผลงานประพันธ์ชิ้นสำคัญๆ สำหรับเดี่ยวเชลโลมากกว่างานเดี่ยวไวโอลินด้วยซ้ำไป ในศตวรรษที่ 20 ได้มีการประพันธ์เชลโลคอนแชร์โตชิ้นเยี่ยมๆ ขึ้นมากมายเช่นผลงานในช่วงปลายๆ ของ Edward Elgar ในปี 1919 ที่เปี่ยมไปด้วยความงดงามและความรู้สึกที่หดหู่ของช่วงหลังสงคราม ส่วน Dimitri Shostakovich ได้เขียนคอนแชร์โตไว้ 2 บท บทแรกคือ Op. 107 ในปี 1959 ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าบทที่ 2 คือ Op.126 ในปี 1966 และนักประพันธ์ชาวโปแลนด์ Krzystorf Penderecki และ Witold Lutoslawski ทั้งคู่ได้ประพันธ์คอนแชร์โตไว้จำนวนหลายบท โดยเฉพาะผลงานชิ้นสุดท้ายถือเป็นผลงานชิ้นที่ดีที่สุดในช่วงหลายทศวรรษเลยทีเดียว
ในช่วงเดียวกันนั้นเองต้องถือว่าความรู้ที่เกี่ยวกับเชลโลยังไม่พัฒนาถึงขั้นสูงสุด แต่ต้องนับเป็นโชคดี ที่ในปัจจุบันมีนักทำเครื่องดนตรีหลายๆ คนได้สร้างเครื่องสายในวงออร์เคสตร้าเลียนแบบผลงานชั้นยอดของศตวรรษที่ 17-18 ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
งานเดี่ยวเชลโลที่ไม่มีดนตรีประกอบได้แสดงถึงความหลากหลายและความสามารถในการแสดงออกของเชลโล ทำให้เชลโลได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วงหลังสงคราม นอกจากนั้น Suite ของ Britten สามารถอ้างอิง Serenade ของ Henze ได้
ผลงานโซนาต้าของนักประพันธ์ชาวอเมริกัน George Crumb และ Trois strophes sur le nom de Sacher ของ Henri Dutilleux หนึ่งในผลงานหลายๆ ชิ้นที่ได้รับมอบหมายให้ประพันธ์ให้กับวาทยากร Paul Sacher เพื่อบรรเลงเนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดปีที่ 70 ของท่านในปี 1976 และตั้งชื่อตามชื่อของท่านนั่นเอง
งานเทศกาลที่จัดขึ้นทุกๆ 2 ปี The Biennal Cello Festival ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงผลงานประพันธ์ใหม่ๆ และเป็นงานที่ดึงดูดนักเชลโลชั้นนำจากทั่วโลกมารวมกัน เทคนิควิธีการเล่นเชลโลที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 นั้นเทคนิคที่ยอดเยี่ยมต่างๆ อาจจะได้พัฒนามาจนถึงจุดสูงสุดแล้วก็เป็นได้เช่นเดียวกับไวโอลิน ในยุคปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่าความสนใจจะหันไปเน้นที่การตีความของบทเพลงแทน มีนักเชลโลที่มีฝีมือชั้นนำจำนวนมากมายในศตวรรษที่ 20 และยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญของเชลโลและได้กลายเป็นเครื่องดนตรีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในบรรดาเครื่องดนตรีด้วยกัน
ในศตวรรษที่ 20 ดูเหมือนว่าจะมีผลงานประพันธ์ชิ้นสำคัญๆ สำหรับเดี่ยวเชลโลมากกว่างานเดี่ยวไวโอลินด้วยซ้ำไป ในศตวรรษที่ 20 ได้มีการประพันธ์เชลโลคอนแชร์โตชิ้นเยี่ยมๆ ขึ้นมากมายเช่นผลงานในช่วงปลายๆ ของ Edward Elgar ในปี 1919 ที่เปี่ยมไปด้วยความงดงามและความรู้สึกที่หดหู่ของช่วงหลังสงคราม ส่วน Dimitri Shostakovich ได้เขียนคอนแชร์โตไว้ 2 บท บทแรกคือ Op. 107 ในปี 1959 ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าบทที่ 2 คือ Op.126 ในปี 1966 และนักประพันธ์ชาวโปแลนด์ Krzystorf Penderecki และ Witold Lutoslawski ทั้งคู่ได้ประพันธ์คอนแชร์โตไว้จำนวนหลายบท โดยเฉพาะผลงานชิ้นสุดท้ายถือเป็นผลงานชิ้นที่ดีที่สุดในช่วงหลายทศวรรษเลยทีเดียว
ในช่วงเดียวกันนั้นเองต้องถือว่าความรู้ที่เกี่ยวกับเชลโลยังไม่พัฒนาถึงขั้นสูงสุด แต่ต้องนับเป็นโชคดี ที่ในปัจจุบันมีนักทำเครื่องดนตรีหลายๆ คนได้สร้างเครื่องสายในวงออร์เคสตร้าเลียนแบบผลงานชั้นยอดของศตวรรษที่ 17-18 ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
ยอดนักเชลโลแห่งยุค
ในศตวรรษที่ 20 นี้คงจะไม่มีใครที่ทำให้เชลโลเป็นที่รู้จักได้ดีเกินกว่า Pablo Casals ท่านเริ่มต้นอาชีพนักดนตรีในช่วงปี 1900 โดยได้รับการอุปถัมภ์จากราชวงศ์ของสเปน และเสียชีวิตในปี 1973 เมื่ออายุ 97 หนึ่งในคุณูปการของเขาคือการฟื้นฟูและเผยแพร่ผลงาน Suite ของบาคให้เป็นที่แพร่หลาย ท่านยังเป็นนักประพันธ์ที่เป็นที่มีความสามารถอีกด้วย ซึ่งผลงานประพันธ์ของท่านไม่ได้มีแค่เชลโลเท่านั้น ภรรยาคนแรกของท่าน Guihermina Suggia เธอเป็นลูกศิษย์ของ Klengel
ยอดนักเชลโลผู้ยิ่งใหญ่นับตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษยังรวมถึงนักเชลโลชาวรัสเซีย Gregor Piatigorsky ซึ่งท่านได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานของ Martinu และ Hindemith
ท่านต่อมาคือนักเชลโลชาวฝรั่งเศส Piere Fournier ซึ่ง Albert Roussel และ Frank Martinu ได้อุทิศบทประพันธ์คอนแชร์โตให้ ส่วนนักดนตรีเพื่อนร่วมชาติของท่านคือ Paul Tortelier ได้เขียนหนังสือชื่อ How I play, How I teach ขึ้นในปี 1975 ในบรรดานักเชลโลรุ่นต่อๆ มาที่โดดเด่นที่สุดก็คือ Mstislav Rostropovich ชาวรัสเซีย ซึ่ง Shostakovich ได้อุทิศเชลโลคอนแชร์โต ทั้ง 2 บทให้ เช่นเดียวกับ Britten ที่ได้อุทิศบทเพลงเชลโล ซิมโฟนี โซนาต้า และสวีท 3 บทให้เช่นเดียวกัน
นักเชลโลสาวชาวฝรั่งเศส Jacqueline du Pre เธอมีชื่อเสียงเพราะการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจนั่นเอง ต่อมาเธอได้แต่งงานกับนักเปียโนที่มีชื่อเสียงคือ Daniel Barenboim แต่ว่าช่วงชีวิตอาชีพนักดนตรีของเธอนั้นค่อนข้างสั้นเนื่องจากอาการของโรคการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ แต่เธอก็ยังเป็นครูที่มีค่าของวงการดนตรี ผลงานบันทึกเสียงการเล่นเชลโลที่ยอดเยี่ยมของเธอยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีอีกหลายคน
ในบรรดานักเชลโล่รุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่ควรจะกล่าวถึงนั้น คือนักเชลโลชาวอเมริกันได้แก่ Ralph Kirsbaum, Lynn Harrell และYo Yo Ma และนักเชลโลจากอังกฤษคือ Steven Isserlis ส่วนนักเชลโลชาวอาร์เมเนียนได้แก่ Raphael Wallfisch, Karine Georgian และนักเชลโลชาวแสกนดิเนเวียน Frans Helmerson และ Truls Mork
ในศตวรรษที่ 20 นี้คงจะไม่มีใครที่ทำให้เชลโลเป็นที่รู้จักได้ดีเกินกว่า Pablo Casals ท่านเริ่มต้นอาชีพนักดนตรีในช่วงปี 1900 โดยได้รับการอุปถัมภ์จากราชวงศ์ของสเปน และเสียชีวิตในปี 1973 เมื่ออายุ 97 หนึ่งในคุณูปการของเขาคือการฟื้นฟูและเผยแพร่ผลงาน Suite ของบาคให้เป็นที่แพร่หลาย ท่านยังเป็นนักประพันธ์ที่เป็นที่มีความสามารถอีกด้วย ซึ่งผลงานประพันธ์ของท่านไม่ได้มีแค่เชลโลเท่านั้น ภรรยาคนแรกของท่าน Guihermina Suggia เธอเป็นลูกศิษย์ของ Klengel
ยอดนักเชลโลผู้ยิ่งใหญ่นับตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษยังรวมถึงนักเชลโลชาวรัสเซีย Gregor Piatigorsky ซึ่งท่านได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานของ Martinu และ Hindemith
ท่านต่อมาคือนักเชลโลชาวฝรั่งเศส Piere Fournier ซึ่ง Albert Roussel และ Frank Martinu ได้อุทิศบทประพันธ์คอนแชร์โตให้ ส่วนนักดนตรีเพื่อนร่วมชาติของท่านคือ Paul Tortelier ได้เขียนหนังสือชื่อ How I play, How I teach ขึ้นในปี 1975 ในบรรดานักเชลโลรุ่นต่อๆ มาที่โดดเด่นที่สุดก็คือ Mstislav Rostropovich ชาวรัสเซีย ซึ่ง Shostakovich ได้อุทิศเชลโลคอนแชร์โต ทั้ง 2 บทให้ เช่นเดียวกับ Britten ที่ได้อุทิศบทเพลงเชลโล ซิมโฟนี โซนาต้า และสวีท 3 บทให้เช่นเดียวกัน
นักเชลโลสาวชาวฝรั่งเศส Jacqueline du Pre เธอมีชื่อเสียงเพราะการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจนั่นเอง ต่อมาเธอได้แต่งงานกับนักเปียโนที่มีชื่อเสียงคือ Daniel Barenboim แต่ว่าช่วงชีวิตอาชีพนักดนตรีของเธอนั้นค่อนข้างสั้นเนื่องจากอาการของโรคการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ แต่เธอก็ยังเป็นครูที่มีค่าของวงการดนตรี ผลงานบันทึกเสียงการเล่นเชลโลที่ยอดเยี่ยมของเธอยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีอีกหลายคน
ในบรรดานักเชลโล่รุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่ควรจะกล่าวถึงนั้น คือนักเชลโลชาวอเมริกันได้แก่ Ralph Kirsbaum, Lynn Harrell และYo Yo Ma และนักเชลโลจากอังกฤษคือ Steven Isserlis ส่วนนักเชลโลชาวอาร์เมเนียนได้แก่ Raphael Wallfisch, Karine Georgian และนักเชลโลชาวแสกนดิเนเวียน Frans Helmerson และ Truls Mork
Steven Isserlis ยอดนักเชลโลจากอังกฤษ

เชลโล
เครื่องดนตรีเสียง Tenor-bass ในตระกูลไวโอลิน ซึ่งมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับไวโอลินและวิโอลาแต่มีขนาดใหญ่กว่า นักเชลโลต้องนั่งในขณะเล่น ที่ท้ายของเชลโลมีเหล็กแหลมยาวช่วยยึดเชลโลให้อยู่ติดกับพื้นและผู้เล่นสามารถใช้เข่าประคองเชลโลไว้ ถึงแม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายไวโอลินแต่เชลโลไม่ก็ไม่ได้สร้างด้วยสัดส่วนเดียวกันทั้งหมด โดยลดขนาดความยาวของลำตัวลงแต่เพิ่มความหนาขึ้น ดังนั้นนักเชลโลจึงไม่ได้รับเสียงที่ออกมาจากตัวของเชลโลเช่นเดียวกับที่นักไวโอลินได้รับจากไวโอลิน
Violoncello หรือที่เรียกกันว่า Cello ซึ่งชื่อเต็มๆ มีความหมายว่า ซอเบสวิโอลขนาดเล็ก (little bass viol) แต่ต่อมาได้เรียกให้สั้นลงแต่ยังคงความหมายเดิมอยู่ เชลโลนั้นตั้งเสียงเหมือนกับไวโอลินคือคู่ 5 โน้ตสำหรับเชลโลนั้นโดยปกติจะเขียนด้วยโน้ตโทนเสียงเบส นอกจากว่าเพลงนั้นจะเล่นในระดับเสียงสูงจึงจะเขียนด้วยโน้ตโทนเสียงเทอเนอร์ มีอยู่ช่วงหนึ่งประมาณศตวรรษที่ 18 โน้ตสำหรับเชลโลจะเขียนด้วยโน้ตเสียงสูงกว่าโน้ตของตัวมันเอง 1 ช่วงเสียง (Octave) ตัวอย่างเพลงสำหรับเชลโลในคีย์เสียงสูงจะพบได้ในงานประพันธ์สตริงควอเต็ทของบีโธเฟน เป็นต้น
เชลโลสามารถเล่นได้เกือบทุกเทคนิคเช่นเดียวไวโอลินไม่ว่าจะเป็น อาร์เปจโจ คอร์ด ฮาร์โมนิค และเทคนิคอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคอของเชลโลมีความยาวที่มากกว่าไวโอลิน นักเชลโลจึงต้องฝึกการยืดของนิ้วมือให้ดียิ่งขึ้น ในช่วงที่ต้องเล่นโน้ตเสียงสูง นักเชลโลต้องใช้นิ้วหัวแม่มือวางบนสายเพื่อใช้หยุดเสียงและเพื่อหาตำแหน่งที่ถูกต้องของตัวโน้ตในแต่ละโพสิชั่น คันชักของเชลโลค่อนข้างสั้นและหนักกว่าคันชักไวโอลินเล็กน้อย โดยปกติมักมีสมดุลย์ที่พอเหมาะ แต่ไม่สามารถเล่นโน้ตได้ทีละหลายๆ ตัวในคันชักเดียวเหมือนกับคันชักของไวโอลิน
การเล่น Pizzicato เหมาะกับเสียงของเชลโลเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าโดยปกติแล้วเชลโลจะให้เสียงที่กังวานมากในแต่ละโน้ตที่บรรเลง หรือแม้แต่การเล่นคอร์ดด้วยการดีดสาย ดังนั้นเชลโลจึงมีความสำคัญมากในการเล่นประกอบเครื่องดนตรีอื่นๆ ทั้งเครื่องสายอื่นๆ หรือแม้แต่เครื่องลมไม้
ในช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 เชลโลถูกใช้ในวงออร์เคสตร้าเพื่อเล่นแนวเสียงเบสคลอไปกับดับเบิ้ลเบสเท่านั้น ในดนตรีบาโร้คเชลโลเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบไปกับออร์แกนหรือฮารพ์สิคอร์ด และในวงดนตรีสตริง ควอเต็ทยุคแรกๆ เชลโลรับหน้าที่บรรเลงแนวเสียงเบส นานๆ ครั้งจึงจะมีโอกาสได้เล่นเป็นท่วงทำนองที่เป็นแนวดนตรีหลัก
ในผลงานคีตนิพนธ์ของไฮเดินและโมสาร์ทนั้น เชลโลจึงได้มีแนวทางบรรเลงของตัวเอง และเป็นบีโธเฟนนั่นเองที่เป็นผู้ดึงเอาน้ำเสียงที่ยอดเยี่ยมของเชลโลมาใช้ในงานประพันธ์ต่างๆ ของท่าน ทั้งในงานออร์เคสต้า แชมเบอร์มิวสิค และโซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนจำนวน 5 บทของท่าน
คีตกวีร่วมสมัยหลายท่านได้ให้ความสำคัญกับบทบาทของเชลโลมากขึ้นเรื่อยๆ Richard Strauss ใช้เสียงของเชลโลเป็นตัวแทนของ Don ในงานประพันธ์ Don Quixote ส่วน Ernest Bloch ก็ได้ใช้เสียงของเชลโลเพื่อแทนเสียงของกษัตริย์โซโลมอนในผลงาน Schelomo ของท่าน
ส่วน Villa-Lobos ได้ประพันธ์ Bachianas Brasileira สำหรับเชลโล 8 ตัวและโซปราโน นักประพันธ์อย่าง Schumann Dvorak, Elgar, Hindemith, Barber ต่างก็ได้ประพันธ์คอนแชร์โตสำหรับเชลโลไว้เป็นหลายบทด้วยกัน (Barber ยังได้ประพันธ์โซนาต้าสำหรับเปียโนและเชลโลไว้อีกด้วย)
แต่ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเชลโลนั้นต้องนับย้อนหลังไปในปี คศ. 1720 คือผลงานสวีทสำหรับเดี่ยวเชลโลจำนวน 6 บทของคีตกวีชาวเยอรมัน โยฮัน เซบาสเตียน บาค ถือเป็นผลงานที่มีความท้าทายและเยี่ยมยอดที่สุดในบรรดาคีตนิพนธ์ทางดนตรีชั้นเยี่ยมทั้งหลาย
เครื่องดนตรีเสียง Tenor-bass ในตระกูลไวโอลิน ซึ่งมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับไวโอลินและวิโอลาแต่มีขนาดใหญ่กว่า นักเชลโลต้องนั่งในขณะเล่น ที่ท้ายของเชลโลมีเหล็กแหลมยาวช่วยยึดเชลโลให้อยู่ติดกับพื้นและผู้เล่นสามารถใช้เข่าประคองเชลโลไว้ ถึงแม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายไวโอลินแต่เชลโลไม่ก็ไม่ได้สร้างด้วยสัดส่วนเดียวกันทั้งหมด โดยลดขนาดความยาวของลำตัวลงแต่เพิ่มความหนาขึ้น ดังนั้นนักเชลโลจึงไม่ได้รับเสียงที่ออกมาจากตัวของเชลโลเช่นเดียวกับที่นักไวโอลินได้รับจากไวโอลิน
Violoncello หรือที่เรียกกันว่า Cello ซึ่งชื่อเต็มๆ มีความหมายว่า ซอเบสวิโอลขนาดเล็ก (little bass viol) แต่ต่อมาได้เรียกให้สั้นลงแต่ยังคงความหมายเดิมอยู่ เชลโลนั้นตั้งเสียงเหมือนกับไวโอลินคือคู่ 5 โน้ตสำหรับเชลโลนั้นโดยปกติจะเขียนด้วยโน้ตโทนเสียงเบส นอกจากว่าเพลงนั้นจะเล่นในระดับเสียงสูงจึงจะเขียนด้วยโน้ตโทนเสียงเทอเนอร์ มีอยู่ช่วงหนึ่งประมาณศตวรรษที่ 18 โน้ตสำหรับเชลโลจะเขียนด้วยโน้ตเสียงสูงกว่าโน้ตของตัวมันเอง 1 ช่วงเสียง (Octave) ตัวอย่างเพลงสำหรับเชลโลในคีย์เสียงสูงจะพบได้ในงานประพันธ์สตริงควอเต็ทของบีโธเฟน เป็นต้น
เชลโลสามารถเล่นได้เกือบทุกเทคนิคเช่นเดียวไวโอลินไม่ว่าจะเป็น อาร์เปจโจ คอร์ด ฮาร์โมนิค และเทคนิคอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคอของเชลโลมีความยาวที่มากกว่าไวโอลิน นักเชลโลจึงต้องฝึกการยืดของนิ้วมือให้ดียิ่งขึ้น ในช่วงที่ต้องเล่นโน้ตเสียงสูง นักเชลโลต้องใช้นิ้วหัวแม่มือวางบนสายเพื่อใช้หยุดเสียงและเพื่อหาตำแหน่งที่ถูกต้องของตัวโน้ตในแต่ละโพสิชั่น คันชักของเชลโลค่อนข้างสั้นและหนักกว่าคันชักไวโอลินเล็กน้อย โดยปกติมักมีสมดุลย์ที่พอเหมาะ แต่ไม่สามารถเล่นโน้ตได้ทีละหลายๆ ตัวในคันชักเดียวเหมือนกับคันชักของไวโอลิน
การเล่น Pizzicato เหมาะกับเสียงของเชลโลเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าโดยปกติแล้วเชลโลจะให้เสียงที่กังวานมากในแต่ละโน้ตที่บรรเลง หรือแม้แต่การเล่นคอร์ดด้วยการดีดสาย ดังนั้นเชลโลจึงมีความสำคัญมากในการเล่นประกอบเครื่องดนตรีอื่นๆ ทั้งเครื่องสายอื่นๆ หรือแม้แต่เครื่องลมไม้
ในช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 เชลโลถูกใช้ในวงออร์เคสตร้าเพื่อเล่นแนวเสียงเบสคลอไปกับดับเบิ้ลเบสเท่านั้น ในดนตรีบาโร้คเชลโลเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบไปกับออร์แกนหรือฮารพ์สิคอร์ด และในวงดนตรีสตริง ควอเต็ทยุคแรกๆ เชลโลรับหน้าที่บรรเลงแนวเสียงเบส นานๆ ครั้งจึงจะมีโอกาสได้เล่นเป็นท่วงทำนองที่เป็นแนวดนตรีหลัก
ในผลงานคีตนิพนธ์ของไฮเดินและโมสาร์ทนั้น เชลโลจึงได้มีแนวทางบรรเลงของตัวเอง และเป็นบีโธเฟนนั่นเองที่เป็นผู้ดึงเอาน้ำเสียงที่ยอดเยี่ยมของเชลโลมาใช้ในงานประพันธ์ต่างๆ ของท่าน ทั้งในงานออร์เคสต้า แชมเบอร์มิวสิค และโซนาต้าสำหรับเชลโลและเปียโนจำนวน 5 บทของท่าน
คีตกวีร่วมสมัยหลายท่านได้ให้ความสำคัญกับบทบาทของเชลโลมากขึ้นเรื่อยๆ Richard Strauss ใช้เสียงของเชลโลเป็นตัวแทนของ Don ในงานประพันธ์ Don Quixote ส่วน Ernest Bloch ก็ได้ใช้เสียงของเชลโลเพื่อแทนเสียงของกษัตริย์โซโลมอนในผลงาน Schelomo ของท่าน
ส่วน Villa-Lobos ได้ประพันธ์ Bachianas Brasileira สำหรับเชลโล 8 ตัวและโซปราโน นักประพันธ์อย่าง Schumann Dvorak, Elgar, Hindemith, Barber ต่างก็ได้ประพันธ์คอนแชร์โตสำหรับเชลโลไว้เป็นหลายบทด้วยกัน (Barber ยังได้ประพันธ์โซนาต้าสำหรับเปียโนและเชลโลไว้อีกด้วย)
แต่ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเชลโลนั้นต้องนับย้อนหลังไปในปี คศ. 1720 คือผลงานสวีทสำหรับเดี่ยวเชลโลจำนวน 6 บทของคีตกวีชาวเยอรมัน โยฮัน เซบาสเตียน บาค ถือเป็นผลงานที่มีความท้าทายและเยี่ยมยอดที่สุดในบรรดาคีตนิพนธ์ทางดนตรีชั้นเยี่ยมทั้งหลาย

-----------------------------------
ที่มา : http://www.pantown.com/board.php?id=13220&area=4&name=board2&topic=179&action=view
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น