วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ออร์เครสตร้า


วงออร์เคสตรา คือ วงดุริยางค์ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย รวมกับเครื่องลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง และเครื่องตี ซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานตั้งแต่สมัยยุคบาโรก (ศตวรรษที่ 16) ในการศึกษาวงออร์เคสตราจำเป็นต้องเข้าใจถึงองค์ประกอบดังนี้
        1. ประวัติของวงออร์เคสตรา
            วงออร์เคสตรา เป็นภาษาเยอรมัน หมายถึง สถานที่เต้นรำ เป็นส่วนหน้าเวทีของโรงละครสมัยกรีกโบราณในยุคกลาง ความหมายได้เปลี่ยนเป็นเวทีที่ใช้แสดงเท่านั้น และใน    กลางศตวรรษที่18 วงออร์เคสตรา หมายถึง การแสดงของวงดนตรี ซึ่งใช้มาจนปัจจุบัน อีกนัยหนึ่งก็ยังหมายถึง พื้นที่ระดับต่ำที่เป็นที่นั่งอยู่หน้าเวที ละคร และการแสดงคอนเสิร์ต
             ในระยะแรก การใช้เครื่องดนตรีไม่มีการระบุแน่นอนว่ามีการบรรเลงเป็นอย่างไร ต่อมาในระยะศตวรรษที่ 16 มีโอเปราเกิดขึ้นทำให้มีความจำเป็นต้องการให้มีการบรรเลงกลมกลืนกับนักร้องจึงเริ่มมีการกำหนดเครื่องดนตรีลงในบทเพลงโดยเป็นลักษณะของวงเครื่องสายออร์เคสตรา (String Orchestra) มีผู้เล่นจำนวน 10-25 คน ในศตวรรษที่ 17 เริ่มมีการเพิ่มเครื่องลมไม้ และในตอนปลายยุคบาโรก (ประมาณ ค.. 1750) ผู้ประพันธ์เพลงเริ่มระบุจำนวนเครื่องดนตรีไว้ในบทเพลงโดยละเอียด มีการเพิ่มเครื่องลมทองเหลือง และเครื่องประกอบจังหวะ
             วงออร์เคสตราเริ่มมีการพัฒนารูปแบบจนได้มาตรฐานในยุค คลาสสิก (ศตวรรษที่ 18) บทเพลงประเภทซิมโฟนีมีการพัฒนารูปแบบที่หลากหลาย ได้แก่ บทเพลงประเภท คอนแชร์โต โอเปรา และเพลงร้องเกี่ยวกับศาสนา
               นอกจากนี้ในวงออร์เคสตรายังมีเครื่องดนตรีแต่ละประเภทครบถ้วน คือ ในกลุ่มเครื่องสายประกอบด้วย ไวโอลิน วิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส ในกลุ่มเครื่องลมไม้    ประกอบด้วยฟลูต คลาริเน็ต โอโบ
บาสซูน ในกลุ่มเครื่องลมทองเหลืองประกอบด้วย ฮอร์น ทรัมเป็ต ทรอมโบน และทูบาและในกลุ่มเครื่องตีประกอบด้วย กลองทิมปานี กลองใหญ่ และเครื่องประกอบจังหวะอื่นๆ ซึ่งจะมีรายละเอียดตามความต้องการของผู้ประพันธ์เพลง
                        ต่อมา ในยุคโรแมนติก วงออร์เคสตราเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่และสื่ออารมณ์ของบทเพลงให้ชัดเจน ความนิยมในบทเพลงประเภทบรรยายเรื่องราว(Symphonic poem) ทำให้วงออร์เคสตรามีผู้แสดงถึง 100 คน และนับว่าเป็นการพัฒนาถึงขีดสุดจนถึงยุคศตวรรษที่ 20 เนื่องจากผลกระทบหลังสงครามโลกครั้งที่ ทำให้วงมีขนาด  ลดลงซึ่งในการจัดวงนั้นก็ขึ้นกับปัจจัยทางสังคม เช่น เศรษฐกิจ การเมือง เป็นต้น เช่นเดียวกับการประพันธ์บทเพลง

             2.  วิวัฒนาการการจัดวงออร์เคสตรา
                      2.1   ยุคบาโรก (Baroque) .. 1600-1750 เป็นยุคแรกของวงออร์เคสตรา ดังนั้น มาตรฐานการจัดวงจึงมีความไม่แน่นอนซึ่งอาจประกอบด้วย
                                    เครื่องสาย                    คือ    ไวโอลิน แนว (ไวโอลิน ไวโอลิน 2)
                                                                                 วิโอลา
                                                                                 เชลโลและดับเบิลเบส
                                    เครื่องลมไม้                 คือ   โอโบ เครื่อง
                                                                                บาสซูน เครื่อง
                                                                                บางครั้งอาจมีฟลูต
                                    เครื่องลมทองเหลือง    คือ   ทรัมเป็ต เครื่อง
                                                                                บางครั้งอาจมีฮอร์น
                                    เครื่องประกอบจังหวะ คือ  ทิมปานี
 นอกจากนี้อาจมีออร์แกนเมื่อบรรเลงบทเพลงที่เกี่ยวกับศาสนา (เพลงโบสถ์และเครื่องดนตรีชนิดอื่นตามความต้องการของผู้ประพันธ์
                      2.2  ยุคคลาสสิก (The Classic Era) .. 1750-1820 ยุคนี้วงออร์เคสตราเริ่มมีแบบแผนอาจแบ่งเป็น วงเครื่องสายออร์เคสตรา (String Orchestra) คือ วงออร์เคสตราที่ประกอบด้วยเครื่องสายเพียงอย่างเดียวและวงออร์เคสตรามีเครื่องดนตรีทั้ง ประเภท อาจประกอบด้วย

                                                ฟลูต          2          เครื่อง                 ฮอร์น                    2          เครื่อง
                                                โอโบ         2          เครื่อง                 ทรัมเป็ต                2          เครื่อง
                                                คลาริเน็ต   2          เครื่อง                 กลองทิมปานี        2          ใบ
                                                บาสซูน     2           เครื่อง                 เครื่องสาย (ตามแต่ประพันธ์เพลงต้องการ)
ในกลุ่มเครื่องสายจะมีแนวบรรเลง แนว คือ แนวทำนองหลักและแนวเสียงประสาน
                     2.3 ยุคโรแมนติก (The Romantic Era) .. 1820-1900 ยุคนี้ออร์เคสตราพัฒนาถึงจุดที่เป็นมาตรฐานเครื่องดนตรีสามารถให้สีสันกับบทเพลงได้อย่างเด่นชัด โดยมีการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีให้มากขึ้น ผู้บรรเลงประมาณ 80 คน ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ดังนี้

                                                ฟลูต               4          เครื่อง                 ดับเบิลเบส           8          เครื่อง
                                                โอโบ              4          เครื่อง                 ฮอร์น                   4          เครื่อง
                                                คลาริเน็ต        4          เครื่อง                 ทรัมเป็ต               4          เครื่อง
                                                บาสซูน          4          เครื่อง                 ทรอมโบน            4          เครื่อง    
                                                ไวโอลิน 1     14         เครื่อง                 ทิมปานี                1          ชุด
                                                ไวโอลิน 2      14        เครื่อง                 กลองใหญ่            1          ตัว
                                                วิโอลา             8         เครื่อง                 ฉาบ                      1          คู่
                                                เชลโล             10        เครื่อง                 ฮาร์ฟ                    1          คู่

                   2.4  วงออร์เคสตราในปัจจุบัน มีความแตกต่างกันไปตามสภาพสังคม และเศรษฐกิจ รวมทั้งจุดมุ่งหมายการบรรเลงเพลงด้วย แบ่งได้เป็น ลักษณะ คือ ขนาดเล็กผู้บรรเลงไม่เกิน 60 คน และขนาดใหญ่ผู้บรรเลงประมาณ 80-100 คน โดยคำนึงถึงความกลมกลืน และความสมดุลของเสียงเครื่องดนตรีแต่ละกลุ่ม ในการจัดกลุ่มเครื่องดนตรี นิยมให้เครื่องสายอยู่   ด้านหน้าสุด ส่วนเครื่องตีและเครื่องลมทองเหลืองอยู่ด้านหลัง บริเวณกลางจะเป็นเครื่องลมไม้ ดังนี้

                                    กลุ่มเครื่องสาย       ไวโอลิน 1                       18                    เครื่อง
                                                                   ไวโอลิน 2                       15                    เครื่อง
                                                                   วิโอลา                             12                    เครื่อง
                                                                    เชลโล                            12                    เครื่อง
                                                                    ดับเบิลเบส                     12                    เครื่อง
                                    กลุ่มเครื่องลมไม้     ฟลูต                                3                     เครื่อง                
                                                                    ปิกโกโล                          1                     เครื่อง
                                                                    โอโบ                               3                     เครื่อง                
                                                                     อิงลิชฮอร์น                     1                     เครื่อง
                                                                     คลาริเน็ต                         3                     เครื่อง                
                                                                     เบสคลาริเน็ต                   1                     เครื่อง
                                                                     บาสซูน                            3                     เครื่อง                
                                                                     ดับเบิลบาสซูน                1                      เครื่อง
                        กลุ่มเครื่องลมทองเหลือง      ฮอร์น                             4-6                   เครื่อง
                                                                      ทรัมเป็ต                         4                      เครื่อง
                                                                      ทรอมโบน                     3                      เครื่อง
                                                                      ทูบา                               1                      เครื่อง
                        กลุ่มเครื่องตี                          กลองทิมปานี                 1                      ชุด
                                                                     กลองใหญ่ กลองเล็ก ไซโลโฟน สามเหลี่ยม ฉาบ
                                                                     แทมโบริน (ใช้ผู้เล่น 2-4 คน)





                 3.  บทเพลงที่ใช้ในวงออร์เคสตรา
            ซิมโฟนี (Symphony)
            เป็นบทเพลงต้นแบบของเพลงประเภทต่างๆ ที่ใช้บรรเลงสำหรับวงซิมโฟนีออร์เคสตรา ซึ่ง นิยมในยุคคลาสสิก (1750-1820) ส่วนใหญ่ประพันธ์โดยไฮเดิน (106 บทโมซาร์ท (ประมาณ 50บทในยุคโรแมนติกเป็นบทเพลงที่มีความไพเราะ สง่างามและแสดงออกถึงอารมณ์ จิตวิญญาณของดนตรีในยุคผู้ประพันธ์ที่สำคัญ เช่น ชูเบิร์ต ชูมานน์ เป็นต้น ซิมโฟนีโดยปกติ   ประกอบด้วย 3-4ท่อน โดยรูปแบบจังหวะแต่ละท่อนเป็นเร็ว-ช้า-เร็ว หรือ เร็ว-ช้า-เร็ว     ปานกลาง-เร็ว
            คอนแชร์โต (Concerto)
            เป็นบทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยวเพื่อแสดงฝีมือของผู้บรรเลงร่วมบรรเลงกับวงออร์เคสตรา เกิดขึ้นในยุคบาโรกและมีแบบแผนที่เป็นมาตรฐานในยุคคลาสสิก ด้านรูปแบบมีลักษณะคล้ายกับซิมโฟนีแต่มีเพียง ท่อน ประกอบด้วย เร็ว-ช้า-เร็ว คอนแชร์โตที่นิยม คือ เปียโนคอนแชร์โตและไวโอลินคอนแชร์โต
            โอเปรา (Opera)
            เป็นละครเพลงร้องที่ใช้วงออร์เคสตราในการบรรเลงดนตรีประกอบ และดำเนินเรื่องใช้การร้องเป็นหลัก โอเปราแบ่งได้ ประเภท คือ โอเปรา ซีเรีย (Opera Seria) เป็นเรื่องราว  เกี่ยวกับชนชั้นสูง เนื้อหาเกี่ยวกับโศกนาฏกรรม ความรัก และโอเปรา ชวนหัว (Comic Opera, Opera buffa) เนื้อหาเป็นเรื่องสามัญชนทั่วไป แนวสนุกสนาน ตลกขบขัน ดำเนินเรื่องรวดเร็ว
            บางโอกาสอาจมีโอเปราอีก ประเภท คือ โอเปเรตตา (Operetta) เป็นโอเปราขนาดเล็ก มีแนวสนุกสนานทันสมัย ใช้การพูดแทนการร้องในบทสนทนา และคอนทินิวอัสโอเปรา (Continuous Opera) เป็นโอเปราที่ใช้ดนตรีเชื่อมโยงเรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
            ดนตรีบรรยายเรื่องราว (Simphonic poem)
            เป็นบทเพลงที่ใช้เสียงดนตรีสื่อความหมายต่างๆ หรือเล่าเรื่องราวตามความมุ่งหมายของ           ผู้ประพันธ์ ซึ่งอาจเป็นการเล่าเรื่องราวหรือบรรยายภาพในลักษณะการเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น    น้ำไหล นกร้อง เป็นต้น บทเพลงประเภทนี้จะสื่ออารมณ์ความรู้สึกอย่างชัดเจน เกิดขึ้นใน             ยุคโรแมนติกและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
            บัลเลต์ (Ballet)
          เป็นบทเพลงที่ใช้สำหรับประกอบการแสดงละครคล้าย  โอเปร่า แต่ไม่มีบทร้อง ผู้แสดงใช้การเต้นบรรยายแทนการสนทนา ผู้ประดิษฐ์ท่าทางมีความสำคัญมากเพราะต้องสื่อเนื้อหาที่เข้ากับดนตรีและเนื้อเรื่อง ดนตรีบัลเลต์จัดเป็นดนตรีที่บรรเลงด้วยวงออร์เคสตร้าที่มีความไพเราะสามารถฟังได้โดยไม่ต้องมีการแสดงประกอบแต่ประการใด
          
    
















------------------------------------------
ที่มา : http://tc.mengrai.ac.th/singthong/webstu/521/611/6119-Baroque-A/link16.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น